![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b29_LUNA-Play_01-2048x1365.jpeg)
เมื่อพูดถึง ‘ละครเวที’ หลายคนก็คงจะนึกถึงภาพของเวทีการแสดงที่ถูกแยกออกจากส่วนของผู้ชมอย่างชัดเจน แต่ไม่ใช่กับละครเวทีที่เพิ่งเปิดม่านไปล่าสุดอย่าง ‘LUNA: The Immersive Musical Experience’ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่ให้ผู้ชมได้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงและโรงละคร สัมผัสจินตนาการไม่รู้จบ และเรียนรู้ ‘ความเป็นมนุษย์’ ผ่านตัวละครและเสียงเพลงมากกว่า 30 บทเพลง ที่จะทำให้ประสบการณ์การดูละครเวทีในครั้งนี้ ไม่เหมือนกับครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา
นอกเหนือจากความสนุกสนานของเทคนิคใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในละครเรื่องนี้ ยังมีความท้าทายและเรื่องราวเบื้องหลังที่ ‘วรัชญ์ อนุมานศิริกุล’ ผู้ก่อตั้ง Castscape และเจ้าของโปรเจ็กต์ LUNA: The Immersive Musical Experience เล่าให้ EQ ฟัง และนี่คือเรื่องราวที่จะสร้างสีสันและความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการละครเวทีของไทยอีกเรื่องหนึ่ง
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b37_LUNA-Play_02-1536x2048.jpeg)
เรื่องราวของสองฟากฝั่ง
“เรื่อง LUNA มาจากวรรณกรรมเรื่อง ‘The Girl Who Drank the Moon’ ซึ่งเป็นเรื่องราวของหมู่บ้านหนึ่ง ที่มีความเชื่อว่า ทุกปีพวกเขาจะต้องเอาเด็กมาสังเวยให้แม่มดกลางป่า ในขณะเดียวกัน ทุกๆ ปีก็จะมีแม่มดคนหนึ่งมารับเด็กที่ถูกทิ้งเอาไว้กลางป่า ซึ่งแม่มดเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีเด็กถูกทิ้งไว้ทุกปี นางก็ถูกชะตากับเด็กคนหนึ่ง และเผลอป้อนแสงจันทร์ให้กับเด็กคนนี้ ซึ่งก็คือ ‘ลูน่า’ พอป้อนแสงจันทร์ให้ ลูน่าก็มีพลังเวทมนต์ แม่มดจึงไม่สามารถส่งลูน่าให้ใครดูแลได้ และต้องเลี้ยงเด็กคนนี้เอาไว้เอง” วรัชญ์เล่าเรื่องย่อ
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b17_LUNA-Play_03-2048x1365.jpeg)
ในขณะที่เรื่องราวของลูน่ากับการเรียนรู้เพื่อควบคุมพลังเวทมนต์ของเธอถูกเล่าขานอยู่ ‘ฝั่งป่า’ อีกฟากฝั่งของเรื่องคือ ‘ฝั่งเมือง’ ก็มีเรื่องราวอีกชุดที่ถูกเล่าขนานกันไป โดยเป็นเรื่องราวของชาวเมืองที่จัดพิธีกรรมสังเวยเด็กให้แม่มด ซึ่งพยายามเปิดเปลือยและตั้งคำถามว่า “ทำไมมนุษย์ต้องกระทำในสิ่งที่ถูกบังคับให้เชื่อตลอดมา” ผ่านตัวละคร ‘แอนเทน’ หลานชายผู้อาวุโสผู้ตั้งคำถามกับพิธีกรรมของชาวเมืองที่ทำต่อๆ กันมายาวนาน
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b1f_LUNA-Play_04-2048x1365.jpeg)
“เด็กชายคนนี้เห็นการสังเวยเด็กทุกปี แล้วก็ตั้งคำถามตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งแอนเทนเป็นหลานชายของผู้อาวุโส และจะเป็นผู้สืบทอดการทำพิธีของหมู่บ้าน แต่เขาเคยเข้าร่วมพิธีนี้แล้วเห็นแม่ที่ถูกลากลูกไป แล้วแม่คนนั้นก็กรีดร้องเหมือนจะเป็นบ้า มันเป็นภาพติดตามาตั้งแต่วันนั้น เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงพิธีกรรมนี้ จนวันหนึ่ง ลูกของเขากลับเป็นเด็กที่ต้องถูกสังเวย แอนเทนจึงตัดสินใจฆ่าแม่มดตนนั้นเสีย” วรัชญ์กล่าว
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b75_LUNA-Play_05-2048x1365.jpeg)
แรงบันดาลใจจากชีวิต ‘ป้าหมอ’
ละครเวทีเรื่อง LUNA นี้ ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเรื่อง The Girl Who Drank the Moon บทประพันธ์ของ ‘เคลลี่ บาร์นฮิลล์’ (Kelly Barnhill) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสุดยอดนวนิยายที่ให้คุณค่าสูงสุดแก่เยาวชนสหรัฐอเมริกา ประจำปี ค.ศ. 2017 และเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่เติบโตพร้อมกับผู้อ่าน วรัชญ์บอกกับเราว่า ยิ่งผู้อ่านมีประสบการณ์ชีวิตมากเท่าไร ก็จะสามารถสัมผัสความหมายที่ลึกซึ้งของวรรณกรรมเรื่องนี้ได้มากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ ละครเวทีเรื่องนี้ยังได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘ป้าหมอ’ หรือ ‘แพทย์หญิง ดร.เคลียวพันธ์ สูรพันธ์ุ’ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิชัยพฤกษ์ บ้านดูแลเด็กกำพร้าและเด็กด้อยโอกาส มานานกว่า 37 ปี
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2aea_LUNA-Play_06.png)
“จริงๆ แล้วละครเวทีเรื่องนี้ มันเชื่อมโยงกับชีวิตของผมด้วย ตรงที่ตัวละครแม่มดในป่า มันคือตัวแทนชีวิตของบุคคลหนึ่ง นั่นก็คือป้าหมอ ตั้งแต่ผมเรียนจบก็ได้เป็นอาสาสมัครช่วยท่านประมาณ 5 ปี โดยท่านเป็นหมอที่อุทิศชีวิตของตัวเองเพื่อดูแลเด็กกำพร้า ท่านมอบความรัก เลี้ยงเด็กทุกคนเหมือนเป็นลูกของตัวเอง แล้วก็พยายามส่งเสียพวกเขาให้ไปไกลที่สุดเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะมีโอกาสไปได้
พอผมได้เจอวรรณกรรมเรื่องนี้ก็นึกถึงป้าหมอ และอยากใช้เรื่องนี้เพื่อบอกกับทุกคนว่า ถ้าเปรียบเด็กที่ถูกทิ้งเป็นเด็กกำพร้า ในชีวิตจริงก็คือสังคมที่ทำให้เรามีเด็กที่สูญเสียโอกาสในทุกๆ ปี และผมก็อยากใช้เรื่องนี้เพื่อพูดว่า ยังมีคนๆ หนึ่งที่ทำหน้าที่ตรงนี้ และไม่เคยหยุดที่จะทำงานเพื่อดูแลเด็กๆ เหล่านี้เลย” วรัชญ์เล่า
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b1c_LUNA-Play_07-2048x1365.jpeg)
บทเรียนเรื่องการเติบโต
แม้จะมีหลายเรื่องราวเกิดขึ้นตลอด 2 ชั่วโมง 30 นาทีของการแสดง เรื่องราวทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่ทิ้งบางอย่างไว้ให้คนดูได้ตกตะกอนและเรียนรู้ เพื่อนำมาซึ่ง ‘ความเข้าใจ’ เรื่องความเป็นมนุษย์และความเป็นไปในสังคม
“จุดประสงค์หนึ่งของคนเขียนเรื่องนี้ ที่เขาคิดว่าสำคัญกับเด็กๆ มากคือ เขาอยากให้เด็กมีความสามารถในการตั้งคำถามว่า อะไรทำให้คนเราเชื่อมโยงกัน และอะไรทำให้คนเราต้องพรากจากกัน ในหมู่บ้านเองก็มีการสร้างอคติขึ้นมาว่าแม่มดคือสิ่งชั่วร้าย อยู่ดีๆ เราก็เกลียดคนๆ หนึ่งเพราะเรื่องเล่าบางอย่าง เด็กและชาวเมืองเกลียดแม่มดโดยที่ไม่เคยรู้ความจริง มันคือการสอนเด็ก ซึ่งจริงๆ ก็อาจจะพูดเรื่องการเมืองปัจจุบันด้วย ถ้าเป็นเด็ก มันเชื่อมโยงกับเรื่องเล่า แต่สำหรับผู้ใหญ่ มันก็พูดเรื่องการเมือง ที่สร้างความเชื่อบางอย่างให้คนเกลียดอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเรื่องราวร่วมสมัย” วรัชญ์ชี้
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b5e_LUNA-Play_08-2048x1365.jpeg)
‘การตั้งคำถาม’ เป็นหนึ่งในแง่มุมสะท้อนสังคมที่ละครเวทีเรื่องนี้พยายามทำให้เกิดขึ้น ‘การรับมือกับความเศร้า’ ก็เป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่ถูกบรรจุเอาไว้ในการแสดงครั้งนี้เช่นกัน วรัชญ์เล่าว่า ตลอดสองปีของการระบาดของโรคโควิด-19 ความสัมพันธ์ทางกายภาพของมนุษย์นั้นถูกจำกัดอย่างเสียไม่ได้ นำมาซึ่งความเศร้าที่ก่อขึ้นในใจของคน นอกจากนี้ ยังมีแง่คิดอื่นๆ อีกมากมายที่แต่ละตัวละครในเรื่องได้เผยให้เห็น ซึ่งคนดูแต่ละคนก็อาจจะตีความแตกต่างกันออกไป
“ถ้าเป็นฝั่งป่า ก็อาจจะเป็นเรื่อง coming of age อย่างคนที่ตามลูน่า ก็จะเจอลูน่าถามตัวเองว่าฉันเป็นใครกันแน่นะ ฉันเป็นเด็กกำพร้า อะไรที่อยู่ในตัวฉัน ฉันต้องไปยังไงต่อ หรือถ้าฉันตามมังกรไป มันก็เหมือนมีบางอย่างที่ติดอยู่ข้างใน และทำให้ลูน่าเลือกที่จะอยู่ในกรอบ หรือถ้าฝั่งเมืองก็จะเป็นเรื่องการไม่ยอมรับความเศร้า ทุกคนพยายามทำให้ตัวเองไม่รู้สึกเศร้า ถ้ามีเรื่องเศร้า ก็จะมองโลกในแง่ดีมากๆ แบบที่ไม่ยอมรับรู้ถึงมัน ตัวละครบางตัวเลือกที่จะปกปิดความเศร้าและทำร้ายคนอื่น แง่มุมพวกนี้มันจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับแต่ละตัวละคร หรือตัวละครพระเอกที่ไม่มั่นใจ ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่กล้า รู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้ จนวันหนึ่งเจอสิ่งสำคัญที่ทำให้ต้องลุกขึ้นมาทำบางอย่างเพื่อมัน”
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b67_LUNA-Play_09-2048x1365.jpeg)
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b79_LUNA-Play_10-2048x1365.jpeg)
เทคนิคใหม่แสนท้าทาย
อีกหนึ่งความพิเศษของละครเวที LUNA คือเทคนิค Immersive Musical ที่ถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกในไทย ซึ่งวรัชญ์อธิบายว่า เหมือนกับการเข้าไปในเกม RPG และคนดูก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนั้นจริงๆ
“เหมือนคนดูได้เข้าไปอยู่ในเรื่องราวนั้นจริงๆ ไม่ใช่การรับรู้ผ่านการบอกเล่า เหตุผลที่เราใช้เทคนิคนี้ เพราะมันตรงกับเรื่องราวที่เราจะพูด ปกติเวลาที่ดูละครเวที เราจะสามารถเห็นจากมุมมองของบุคคลที่สาม เราเห็นทั้งเรื่อง แต่สำหรับเทคนิค Immersive เราจะเห็นแค่จากมุมที่เราเจอ ตัวละครที่เราเจอ และไม่สามารถเห็นได้ทั้งเรื่อง สมมติว่าเราเริ่มต้นจากฝั่งเมืองและเชื่อมากว่าแม่มดเป็นคนชั่วร้าย เราก็จะถูกทำให้เชื่อแบบนั้น เขาเชียร์ให้ไปฆ่าแม่มด เพื่อความอยู่รอดของพวกเราทุกคน แต่ในขณะที่ฝั่งป่าก็จะบอกว่า ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย” วรัชญ์อธิบาย
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2afc_LUNA-Play_11-2048x1365.jpeg)
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2af8_LUNA-Play_12-2048x1365.jpeg)
เมื่อเป็นเทคนิคใหม่ที่เพิ่งถูกนำมาใช้กับการแสดงละครเวทีครั้งแรก ก็ย่อมมีความท้าทายเกิดขึ้นมากมาย วรัชญ์ระบุว่า ในแง่ของการแสดงก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการจัดคิวและจังหวะเวลา ที่ทุกอย่างต้อง ‘เป๊ะ’ ประมาณหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องใช้การซักซ้อมอย่างหนัก เพื่อให้ละครสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และเส้นเรื่องเรียงออกมาได้ตรงกันอย่างสมบูรณ์แบบ
“ความท้าทายอีกอย่างคือ ด้วยความที่มันเป็นรูปแบบใหม่ คนดูจะไม่ค่อยชินกับการที่เขาไม่รู้ทั้งเรื่อง และวิธีการที่คนดูเข้ามาดูแบบไม่มีประสบการณ์ บางทีเขาก็อาจจะไม่เข้าใจ อันนี้แหละคือความยาก แต่ถ้าคนดูเป็นคนที่เชื่อมโยงอะไรรวดเร็ว เดินในเมืองแล้วสืบเรื่องได้ว่าเมืองนี้เป็นแบบนี้ ซึ่งมันก็ต้องต่อภาพในหัวประมาณหนึ่ง เรียกได้ว่าจะมีส่วนที่ขาดหายไปค่อนข้างเยอะ แต่ก็ถือเป็นเสน่ห์เหมือนกัน เพราะมันจะสร้างบทสนทนาหลังการดูละครเรื่องนี้”
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b3e_LUNA-Play_13-2048x1365.jpeg)
ละครเวทีเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม
ละครเวทีเรื่อง LUNA: The Immersive Musical Experience เป็นผลงานของทีม Castscape ทีมงานเล็กๆ ที่เชื่อว่า ‘ละครสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้’ ซึ่งนำมาสู่การสร้างงานละครเวทีด้วยเทคนิคพิเศษเรื่องนี้ขึ้น โดยหวังว่ามันจะสามารถสะท้อนหรือเป็นตัวแทนในการ ‘พูด’ ถึงบางเรื่องในสังคมนี้ได้
“กลุ่มละครเวทีของเราเกิดจากคนตัวเล็ก เราไม่ได้เป็นบริษัทใหญ่ ไม่ได้มีอะไรมาก่อน และวงการละครเวทีในประเทศไทยก็ค่อนข้างแคบ อีกหนึ่งอย่างที่เราอยากจะสะท้อนก็คือ เมื่อทุกคนมาร่วมมือกัน มันจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ หมายถึงว่าถ้าคนหนึ่งทำอะไรเล็กๆ ก็อาจจะมีข้อจำกัดเยอะ แต่ถ้าเราช่วยกันและเสริมในสิ่งที่แต่ละคนสามารถสร้างขึ้นมาได้ ผลลัพธ์ก็จะดีเกินกว่าที่คิด”
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a0cb918c493bacfb2b30_LUNA-Play_14-2048x1365.jpeg)
แม้ต้นทุนจะสูง แต่ทีมงานและนักแสดงกว่า 250 ชีวิตของละครเวทีเรื่อง LUNA: The Immersive Musical Experience ก็พยายามกันอย่างเต็มที่ในการทำให้ผู้ชมชาวไทยได้สัมผัสประสบการณ์การรับชมละครด้วยเทคนิค Immersive Musical และได้มีส่วนร่วมกับการแสดงละครไปด้วยกัน พร้อมกับเรียนรู้แง่มุมความเป็นมนุษย์จากการกระทำและพฤติกรรมของตัวละคร ซึ่งเราเชื่อจริงๆ ว่าละครเวทีเรื่องนี้จะทิ้งอะไรบางอย่างเอาไว้ในหัวใจของผู้ชมอย่างแน่นอน
LUNA: The Immersive Musical Experience
จัดแสดงตั้งแต่วันนี้ - 28 มกราคม 2023 ณ The Emquartier Q Stadium ชั้น M อาคาร C
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: Catscape
Instragram: catscape