Daily Pickup

5 หนัง Dystopia แนว Future ที่หดหู่ ชวนลุ้น แต่ก็ยังเปี่ยมหวัง

ในวันหยุดยาวนี้ คอหนังที่ไม่มีแพลนจะไปไหนก็คงไม่พ้นการเลือกภาพยนตร์สักเรื่องมาดูแก้เบื่อ ต้องบอกว่าใครที่ชอบหนังแนว ‘ดิสโทเปีย’ (Dystopia) เกี่ยวกับสังคมปกครองด้วยเผด็จการ โลกหลังการล่มสลาย หรือพล็อตที่ตัวเอกต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ เพื่อให้พ้นจากการถูกกดขี่ แถมแฝงความ sci-fi/fantasy ต้องไม่พลาดลิสต์หนังนี้ จะมีเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

The Giver (2014)

Photo credit: Prime Video / NPR / SBS / IMDb

หนังดิสโทเปียเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายดังภายใต้ชื่อเดียวกัน นำแสดงโดยแคสต์มากความสามารถอย่าง ‘เจฟฟ์ บริดเจส’ (Jeff Bridges), ‘เบรนตัน เทวทส์’ (Brenton Thwaites), ‘เมอรีล สตรีป’ (Meryl Streep) แม้กระทั่งนักร้องสาวสุดฮอตอย่าง ‘เทย์เลอร์ สวิฟต์’ (Taylor Swift) ก็ยังร่วมแสดง ทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อโลกถึงกาลสิ้นสลาย ผู้ที่คงเหลือจึงสร้างสังคมขึ้นมาใหม่ โดยทุกคนจะต้องได้รับยาทุกเช้าเพื่อระงับอารมณ์ความรู้สึก รวมถึงตัดความสามารถในการมองเห็นสีไปด้วย ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้หมด ไม่ว่าจะเป็นเวลากิน นอน กระทั่งหน้าที่การงานหรือสมาชิกครอบครัวก็ถูกเลือกให้โดย ‘ผู้อาวุโส’ จนวันหนึ่งที่ตัวเอก ‘โจนาส’ (Jonas) อายุครบ 18 เขาก็ได้รับมอบหมายให้เป็น ‘ผู้ให้’ ด้วยความที่เขาเป็นคนเดียวที่สามารถมองเห็นสี แม้ว่าจะได้ทานยาเหมือนกับคนอื่นๆ ด้วยหน้าที่นี้ เขาต้องรับความทรงจำของโลกเก่าผ่านผู้ให้ที่ยังมีชีวิต เมื่อโจนาสได้รับรู้ว่าโลกที่ผู้คนต่างมีชีวิตจิตใจและอิสระเป็นอย่างไร เขาก็ยิ่งตั้งคำถามกับสังคมที่เป็นอยู่ ถึงภาพยนตร์เรื่องนี้จะจบแบบปลายเปิด ตัวพล็อตก็ยังล้ำและน่าติดตามมากทีเดียว

I Am Mother (2019)

Photo credit: IMDb / Pantip / Télérama

เมื่อได้เห็นโปสเตอร์ก็คงรู้สึกคุ้นตา เพราะเป็นภาพยนตร์ที่สามารถดูได้บน Netflix เรื่องนี้นำแสดงโดย ‘คลาร่า รูการ์ด’ (Clara Rugard), ‘โรส ไบร์น’ (Rose Byrne), และ ‘ฮิลารี สแวงก์’ (Hilary Swank) ถ้าใครเป็นแฟนหนังแนว sci-fi จะต้องถูกใจอย่างแน่นอน เพราะนี่คือเรื่องราวของหุ่นยนต์ที่นำเอาตัวอ่อนมาทำให้เกิดเป็นมนุษย์ โดยเรียกตัวเองว่า ‘แม่’ และเรียกเด็กสาวคนนั้นว่า ‘ลูกสาว’ เนื่องมาจากการที่โลกภายนอกกลายเป็นพิษเกินกว่าที่มนุษย์จะสามารถอาศัยอยู่ได้ ‘แม่’ จึงมีจุดมุ่งหมายหนึ่ง คือการสร้างมวลมนุษยชาติขึ้นใหม่ ภายในสถานที่ที่มีทุกอย่างพร้อมสำหรับการเลี้ยงดูมนุษย์ให้เติบโต จนวันหนึ่งที่ ‘ลูกสาว’ โตขึ้นและเริ่มมีความสงสัยเกี่ยวกับโลกภายนอก ประจวบเหมาะกับตอนที่มนุษย์คนหนึ่งมาเคาะประตูขอความช่วยเหลือ ทั้งที่ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว ผู้หญิงที่รอดมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอกที่เด็กอย่างเธอไม่เคยรู้มาก่อน คำพูดเหล่านั้นก่อให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับแม่ของเธอ นับว่าเป็นหนังที่พล็อตชวนให้ขบคิดถึงความถูกต้องและความเป็นมนุษย์หลังจากดูจบ

The Midnight Sky (2020)

Photo credit: IMDb / Flow The Film / Film Daily

เป็นอีกเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัว (ไม่แท้) ซึ่งแฝงโมเมนต์ชวนอบอุ่นหัวใจปนลุ้นระทึก และมีตัวละครหลักที่แสดงโดย ‘จอร์จ คลูนีย์’ (George Clooney), ‘โคออยลินน์ สปริงกัล’ (Caoilinn Springall) และ ‘เฟลิซิตี้ โจนส์’ (Felicity Jones) แน่นอนว่าพอเป็นหนังดิสโทเปีย ก็ย่อมเกี่ยวกับโลกหลังการถูกทำลาย ในเรื่องนี้ นักวิจัยคนหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ออกัสติน’ (Augustine) พยายามส่งสัญญาณไปยังยานอวกาศที่ได้ออกสำรวจไม่ให้กลับลงมา เพราะโลกปัจจุบันไม่เหมาะสมแก่การอาศัยอยู่ของสิ่งมีชีวิต และมีเพียงแค่เขากับ ‘ไอริส’ (Iris) เด็กน้อยที่ถูกทิ้งจากการอพยพเท่านั้นที่อยู่รอด ในขณะเดียวกัน ‘ซัลลี่’ (Sully) ที่อยู่บนยานอวกาศก็กำลังเร่งกลับไปหาพื้นโลกเพราะกังวลที่ไม่ได้รับสัญญาณอะไรเลย และเธอก็ยังตั้งท้องอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเล่าเรื่องผ่านมุมของผู้ปกครองที่ต้องดูแลสิ่งมีชีวิตหนึ่งได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้แต่ละฉากก็มีความสวยงาม คุ้มค่าแก่การดูชม

Patema Inverted (2013)

Photo credit: Movie’n’co UK / The Hollywood Reporter / Wired UK / AnimeClick

มาที่ฝั่งอนิเมชั่นกันบ้าง และอาจจะต้องมีการกลับหัวกลับหางดูกันสักหน่อย เพราะภาพยนตร์ของ Studio Rikka เรื่องนี้เกี่ยวกับโลกที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง เมื่อจู่ๆ ท้องฟ้าก็ดูดทุกสิ่งรวมถึงผู้คนขึ้นไป ทำให้เมืองแตกสลาย มีเพียงแค่คนกลุ่มหนึ่งที่ยังยึดอยู่กับแรงโน้มถ่วงเอาไว้ได้ และคนอีกกลุ่มที่หลบลงไปอยู่ใต้พื้นดินก่อนจะถูกดูดขึ้นไป ชนชั้นปกครองของคนที่ยังหลงเหลือบนพื้นผิวโลกจึงสร้างความเชื่อผิดๆ ว่ามนุษย์ที่ถูกดูดขึ้นไปเป็นคนบาปและได้รับการลงโทษจากพระเจ้า ส่วนพวกที่อยู่ใต้ดินก็คือคนบาปที่กำลังหลบหนี พวกเขาไล่ล่าคนที่อาศัยใต้พื้นดิน และบังคับให้คนที่เหลือใช้ชีวิตตามกรอบกำหนด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกรัฐบาลเล่นงานและยึดสัญชาติ ‘เอจ’ (Age) อยู่ในโลกเช่นนั้นมานาน จนกระทั่งได้พบกับ ‘พาเทมะ’ (Patema) เด็กสาวจากโลกใต้ดินที่ดูเหมือนจะลอยขึ้นไปบนฟ้าตลอดเวลา และสงสัยเกี่ยวกับโลกอีกฝั่งมาโดยตลอด ถ้าอยากรู้ว่าพวกเขาเอาตัวรอดจากเผด็จการนี้อย่างไร ต้องตามไปชมกันแล้วล่ะ

Bubble (2022)

Photo credit: AnimeClick / Wallpaper Abyss / Anime Corner / Netflix Anime

เรียกได้ว่าใหม่แกะกล่อง กับภาพยนตร์อนิเมชั่นฝีมือค่ายดัง Wit Studio ที่เคยสร้างสรรค์ผลงานเด่นอย่าง Attack on Titan, Ousama Ranking, และ Vivy: Fluorite Eye’s Song ที่ผู้คนต่างชมเปาะว่าภาพสวยราวกับมีชีวิต และที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือเรื่องนี้มีเค้าโครงมาจากนิทานอย่าง The Little Mermaid ต้องเกริ่นก่อนว่ามันเริ่มมาจากระเบิดฟองสบู่ที่เกิดขึ้น ณ ใจกลางกรุงโตเกียว ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยฟองสบู่และน้ำท่วมจากการที่ฟองสบู่แตก ผู้คนทั้งหมดอพยพออกไปจากเมืองนี้ ยกเว้นกลุ่มเด็กกำพร้าที่ไม่มีที่ไป บ้างก็หลบหนีมาจากที่อื่น พวกเขาแข่งปากัวร์กันเพื่อชิงอาหารและข้าวของเครื่องใช้อยู่เสมอ วันหนึ่ง ‘ฮิบิกิ’ (Hibiki) เด็กชายที่มักจะได้ยินเสียงร้องเพลงประหลาด ได้รับความช่วยเหลือขณะจมน้ำจากเด็กสาวนิรนามที่ไม่ยอมพูด ในภายหลังเขาตั้งชื่อเธอว่า ‘อุตะ’ (Uta) และรับเธอเข้ามาอยู่ด้วย นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขาต้องช่วยกันตามหาเสียงปริศนา ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของพวกเขาไปตลอดกาล

นี่คือภาพยนตร์ดิสโทเปียทั้งหมด 5 เรื่องที่อยากแนะนำให้ทุกคนได้ดูกัน รับรองว่าจะต้องมีบ้างที่ได้กลายเป็นเรื่องโปรด และชวนให้ย้อนกลับไปดูซ้ำรอบสองเพื่อเก็บรายละเอียด พูดได้เลยว่าวันหยุดนี้จะต้องไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอน