'ฉันไม่หวาดกลัวแล้วกับความมืดในยามราตรี
ฉันไม่หวาดผวาแล้วกับความหนาวดั่งนิจนิรันดร์
ฉันไม่เกรงกลัวแล้วกับความโดดเดี่ยวในยามนิทรา
ฉันสั่นกลัวแต่เพียงว่าหลงลืมหัวใจตัวเอง
ใต้เงาของแสงจันทร์'
(teayii)
1 ในงานเขียนชิ้นโปรดของ teayii หรือ เตย – ประภัสสร กาญจนสูตร นักเขียนและศิลปิน ที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ณ ขณะนี้ ซึ่งทุกแพลตฟอร์มโซเชี่ยล มักจะมีคำคม หรือ Quote ของเธอให้เราพบเห็นอยู่เสมอ กับลายมือแบบเขียนเป็นเส้นเอียงๆ แบบตวัด เพียงหยุดอ่านก็อาจทำให้พบเจอ 'ทางออก' หรือ 'หนทาง' เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บทางจิตใจ ที่ทั้งเฉียบพลัน และ เรื้อรัง ซึ่งการอ่านครั้งนี้อาจได้รับการเยียวยาจนทุเลาและเบาบางลง หรือ อาจสาหัสและเจ็บปวดกับความจริงจนชินชาอย่างเข้าใจ
ความเศร้าที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ความเสียใจที่อยากให้มันจบสิ้น หรือ ปัญหาความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุด เราอยากชวนชาว EQ ไปลองอ่านงานเขียนภาษาไทยที่ให้แง่คิดแบบฉบับ teayii เพราะบางที ประตูแห่งความจริง ที่นำไปสู่ความเข้าใจ เพื่อได้รับการโอบกอด และศิโรราบต่อความทุกข์อาจรอคุณอยู่
ทุกข์จนไม่มีทางออก คือ จุดเริ่มต้นของงานเขียน
เกิดจากทุกข์จนไม่มีทางออก แล้วเรารู้สึกคุยกับใครแล้วไม่ได้ยินเสียงตัวเองเลย เราทุกข์จนใจมันทนไม่ไหวแล้ว จนในที่สุดสิ่งเดียวที่ทำได้คือ รีเช็คกับตัวเองว่า จริงๆ เรารู้สึกยังไง เลยเขียนไดอารี่ทุกวัน เขียนมาเรื่อยๆ ว่าวันนี้เรารู้สึกอะไร เราเป็นอะไร เราเป็นยังไงบ้าง เตยจบศิลปกรรมการแสดง เอกกำกับ คำที่ใช้เราค่อนข้างเข้าในเลเยอร์ความรู้สึกเราว่าตอนนั้น เรารู้สึกขนาดไหน เวอร์ชั่นไหน เช่น "น้ำตาไหลลงมา หยดลงเทียบเท่ามหาสมุทร" เราเห็นเป็นภาพมากกว่าที่จะเห็นเป็นคำเฉยๆ เราก็เลยเขียนตามภาพและฟิวลิ่ง ทำมาประมาณ 2 ปีแล้วค่ะ
เตยใช้คำว่ารับใช้ Pain Point ตัวเอง เพราะเรารู้สึก Lost มากเลย ทำไมจบจากมัธยมแล้วจะเข้ามหาลัย แต่ไม่มีพื้นที่ให้เราได้ลองผิดลองถูก เพราะเตยชอบศิลปะและอาร์ตมาก รู้สึกว่าโรงเรียนไทยในยุคที่เตยเรียนมันไม่มีพื้นที่รองรับวิชาที่เราอยากจะเป็น
ช่วยเล่า Rhythm Of Arts Creative Space ให้เราฟังหน่อย
เตยใช้เวลาเรียนวิชาการมา 12 ปี ซึ่งเข้าใจได้ว่ามันเป็นพื้นฐาน แต่ว่าเรารู้สึกว่าเราไม่ตอบโจทย์ ช่วงที่เรียนมาตอนนั้นตั้งแต่ป.1 ถึง ม.6 ถ้าพูดแรงๆ คือ "เสียเวลาชีวิต" ไปกับการเรียนวิชาการ แต่ถ้าวันนี้เตยได้เรียนเหมือนตอนที่เรียนม.ธรรมศาสตร์ เตยคงเป็นส่วนหนึ่งของ Art มากกว่านี้ เพราะ 1-4 ปีในมหาลัยของเรา เรารู้สึกว่าทำไมไม่ได้เรียนแบบนี้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
ช่วงที่จบมัธยมเรามีคำถามสงสัยว่า นิเทศศาสตร์มันแตกต่างกันยังไง รุ่นพี่อาจเล่าและบอก แต่เราไม่เคยลองเอง เลยเปิด Rhythm Of Arts Creative Space เพื่อให้คนได้มาลองเรียน เช่น ลองเรียนนิเทศศาสตร์ที่มีรุ่นพี่แต่ละคณะและมหาลัยมาช่วยแนะแนวผ่าน Theater Education เอาส่วนนี้เข้ามาเป็นสื่อกลางในการทำให้เราเข้าใจวิชาต่างๆ มากขึ้น ซึ่งของเรามีนิเทศศาสตร์จุฬาฯ ศิลปกรรมม.ธรรมศาสตร์ ศิลปกรรมมศว. ICT ศิลปากร เพราะคำว่านิเทศศาสตร์แต่ละมหาลัยมีศัพท์ลงลึกไปอีก บางที่เน้นละครเวที บางที่เน้นออกแบบฉากการแสดง บางที่เน้นสื่อผ่านกล้อง เตยเลยทำค่ายเพื่อให้เด็กๆ มาลองให้รู้ว่า นิเทศศาสตร์แต่ละที่มีซิกเนเจอร์ยังไง เพราะเด็กบางคนกดสมัครผิด หรือ หมอ อย่างม.มหิดล ทำ Presentation เก่งมาก เราจะแบ่งศัพท์กรุ๊ปออกเป็นคนละสถาบันมาเวิร์คชอปแนะแนวเพื่อให้เด็กได้ลองผิดลองถูก และเด็กมีสิทธิ์ที่จะพูดด้วยว่าชอบหรือไม่ชอบ บางคนคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นนักกฎหมาย แต่น้องบางคนใจไปสายนิเทศฯ เตยก็จะแนะนำให้น้องลองเรียนในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่บอกก่อน อย่าเพิ่งลองในสิ่งที่ตัวเองชอบเลย เพราะมนุษย์ต้องฝืนบ้าง และต้องลองอะไรที่ไม่ถูกใจบ้างเผื่อมันจะถูกต้อง เลยเปิดเป็นพื้นที่ Creative Space เพื่อให้เด็กได้ออกมาเป็นในแบบที่ตัวเองอยากเป็นและอยากจะลองก่อน เปิดมาตั้งแต่เรียนจบ ตอนนี้ก็ 10 ปีแล้วค่ะ
งานเขียนของ teayii แตกต่าง หรือ มีจุดเด่นอย่างไร
พูดตรงๆ เตยไม่รู้ว่างานเขียนของตัวเองต่างจากคนอื่นยังไง แต่เตยรู้ว่า ทุกครั้งที่เตยเขียนจะเขียนจากเรื่องจริงที่เป็น ณ โมเมนท์ตรงนั้น เช่น เราเจ็บแบบนั้นจริงๆ ซึ่งงานเขียนของแต่ละคน เตยว่ามันมีซิกเนเจอร์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและมูดอารมณ์ จุดเด่นน่าจะเป็น 'งานเขียนที่เคารพความจริง' หรือ ถ้าเป็นพาร์ทสนุกๆ เขียนกวนๆ แปลว่าวันนั้นเราอารมณ์ดีจริงๆ แล้วเราอยากจะกวนประสาทใครสักคนหนึ่ง รวมถึงมูดและไลน์เส้นที่น่าจะเป็นซิกเนเจอร์ที่ทำให้คนรู้สึกว่า นี่คือ teayii ทุกครั้งที่สุขคนก็รู้สึกได้ ทุกครั้งที่เศร้าคนก็เข้าใจเรา
'ขอให้เจออิสรภาพทางความรู้สึก'
คำเดียวที่เตยชอบพูดคือ 'ขอให้เจออิสรภาพทางความรู้สึก' เพราะเตยเชื่อว่ามนุษย์มักจะพาตัวเองไปเจออะไรบางอย่างในแต่ละเหตุการณ์ ถ้าเราไม่เจออิสรภาพทางความรู้สึก สำหรับเตยมันยากมากที่เราจะหายใจ อย่างน้อยโมเมนท์สักโมเมนท์ที่บางทีเราเผลอเอาใจไปผูกกับใครสักคน เราเรียกโมเมนท์นั้นว่าเราไม่มีอิสรภาพทางความรู้สึก สุดท้ายทุกงานเขียนของเตย เลยนำพาทุกคนไปพบอิสรภาพทางความรู้สึก ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ จะเศร้า จะโกรธ จะน้อยใจ จะเสียใจ ส่วนใหญ่จะให้เราเคารพความจริง เมื่อเราเคารพความจริงได้แล้ว เราจะไปเจอประตูหนึ่งที่เราเปิดออก คือ 'ประตูแห่งการยอมรับ' เราก็มักจะพูดเสมอว่า ประตูแห่งการยอมรับมันยากมากเลย เพราะมนุษย์หวาดกลัวความจริง บางทีความจริงมันไม่น่ารัก
'Deep Listening' รับฟังและไม่ตัดสิน
เตยเชื่อในโมเมนท์ 'Deep Listening' เคยทำงาน Art Exhibition งานหนึ่งที่เราพูดได้เต็มปากว่าเสียงข้างนอกมันเยอะมาก วันนี้เรามา Escape The World มาอยู่ในพื้นที่ๆ เตยสร้างกันดีกว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ๆ ให้ทุกคนหลบหลีกจาก Noise เสียงรถ เสียงแอร์ เสียงที่เพื่อนบอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ หรือ เสียงเจ้านายที่พูดอย่างนั้นอย่างนี้ ในพื้นที่สเปชจุดหนึ่งบนโลก ควรเป็นพื้นที่ๆ ไม่ต้องมีใครมาตัดสินใคร แล้วเตยว่าเราเป็นคนนั้นได้เพราะ 'Deep Listening' นี้มาจากเราเคยต้องการใครสักคน ที่ 'Deep Talk' กับเรา โดยเขาไม่ตัดสินเรา บางทีมนุษย์มันมีทั้งดีและไม่ดีในตัวเอง เราไม่ได้เป็นคนดีตลอดเวลาอยู่แล้ว
ถ้าวันนี้ใครถาม รู้จัก teayii ไหม? ถ้าไปถามคนที่เกลียดเราเขาก็ตอบว่าเรานิสัยไม่ดี แต่ถ้าถามคนที่รักเราเราจะได้ Positive Way มันเกิดจาก Pain Point ตรงนี้ก่อน เราไม่มีทางรู้เลยว่าวันนี้จะแจ็คพอตไปเจอกับใครสักคนที่พูดถึงเราแบบไหน เตยชอบทำงานกับ Pain Point เลยรู้สึกว่าวันนี้น่าจะมีใครสักคนที่ฟังเรื่องราว ต่อให้โหดเหี้ยมที่สุด หรือดีที่สุด ไม่ได้ยินดีและยินร้าย แต่ฉันอยู่ตรงนี้นะ นั่งอยู่ข้างๆ เธอ ฟังและก็กอดกันในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง
‘ขอให้คุณเจอที่ปลอดภัยในหัวใจ’
เป็นคำที่เราเขียนในโมเมนท์ที่ไม่เหลือแล้วแม้กระทั่งความหวัง ความหวังเดียวคือ เราไม่ต้องการสุขแล้ว เราไม่ได้อยากจิบน้ำแห่งความทุกข์ เราขอแค่ความปลอดภัยและความปลอดภัยนั้นไม่ต้องมากมาย มันเกิดขึ้นได้จากตัวเราเอง ณ วันนั้น ที่เรารู้สึกว่า เรียกร้องให้ทุกคนเข้าใจเหรอ? ซึ่งไม่ใช่ทางออก เพราะทุกคนเข้าใจแล้วยังไง? ถ้าเราไม่ได้ยินเสียงตัวของเราเองเลย เตยเลยเขียนคำนี้ขึ้นมา เพราะอยากสัมผัสมัน พอมาสัมภาษณ์ในวันที่โตแล้ว รู้สึกว่าเมื่อปลอดภัยแล้วบางทีอาจไม่ใช่อิสรภาพก็ได้ เหมือนร่างกายและใจของเราไปยึดติดกับความปลอดภัยนั้น
อิสรภาพทางความรู้สึกจริงๆ คือ โมเมนท์ที่ใจไม่ได้เป็นของใครเลย และอยู่ living in the now แต่ก่าจะเจอคำว่า 'พื้นที่ปลอดภัยในหัวใจ' เราต้องเจออิสรภาพทางความรู้สึกก่อน เข้าใจคำว่า now ก่อน เพราะคำนี้จะพาเราไปเจอพื้นที่ปลอดภัย เพราะสุดท้ายสำหรับเตยพื้นที่ปลอดภัยไม่มีจริง มีที่เดียวคือ now ปัจจุบัน
'เรื่องจริงที่เราเจอ' วัตถุดิบและส่วนผสมชั้นดีในการเขียนงาน
ส่วนใหญ่จะเป็น 'เรื่องจริงที่เราเจอ' เหมือนวันนี้เราขับรถ ซึ่งมีเราขับคนเดียว แต่เราแวะรับคนระหว่างทาง คนเหล่านั้นบางคนยื่นดอกไม้ บางคนถือมีด บางคนเป็นพลาสเตอร์แปะแผล บางคนแค่กอดก็เจ็บแล้ว เขามานั่งข้างเรา และเปิดประตูลงไป หรือ บางคนชวนเราดูพระอาทิตย์ตกดิน วัตถุดิบจึงเกิดจากเพื่อนร่วมทางที่เราเจอ บางทีเป็นเพื่อน เป็นคนรัก หรือ เป็นความรักแบบพ่อแม่ และ บางทีเป็นความสัมพันธ์ที่เราบอกใครไม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นความสุขและความเจ็บปวด อะไรที่เจ็บมากเราจะไม่ไหวแล้ว บางคนยื่นช่อดอกไม้ให้ โมเมนท์ตอนที่เขาเคยมอบช่อดอกไม้ตอนนี้มันเหี่ยวแห้งแล้ว ซึ่งไม่คิดจะทิ้งหรอก..แต่วันนั้นเราไปหยิบมาทิ้ง พอทิ้งก็เห็นคำเเลยเขียนงาน 'ดอกไม้ที่เคยสวย อยู่ท่ามกลางระหว่างใจ วันนี้ไม่มีเธอแล้ว' ตัดสินใจหยิบทิ้ง ฟิวแบบเขียน section ความรู้สึกที่เราได้เจอมาว่าโมเมนท์นั้นเราเห็นอะไร งานเขียนของ teayii ใช้เวลาทำไม่นานค่ะ แต่ถ้าเป็น exhibition จะหนักมาก บางงานเขียน 300-400 คำ ถ้าเป็นงานที่ลงใน IG ส่วนใหญ่ คือ รู้สึกแล้วเขียนและถ่ายรูปอัพลงโซเชี่ยลเลย
ตอนเด็กๆ เราเรียนโรงเรียนหญิงล้วน แล้วเพื่อนๆ ชอบเขียนหัวกระดาษ ชื่อเวลาครูแจกชีททุกคนกลัวชีทหายกัน จนมี พิมมี่ กวางกี้ เราก็ teayii และถูกเรียกแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
เลือกงานเขียนที่ชอบที่สุดของตัวเอง 1 งาน พร้อมเหตุผล
'ฉันอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขอให้หัวใจของฉันนั้นไม่แตกสลายไปมากกว่านี้
ไม่รักใครง่ายดายแบบนี้
ไม่ยกหัวใจทั้งใจให้ใครแบบนี้
พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดปราณี
หญิงสาวผู้มีหัวใจแตกสลายคนนี้
เธอมีหัวใจแหลกสลายเป็นเฒ่าธุลี
มีหยดน้ำตาไว้ดื่มด่ำในยามราตรี
พรเดียวที่เธอขออ้อนวอนในตอนนี้
คือขอให้หัวใจเธอคืนมา
กลับมาเป็นของตัวเธอเอง'
อันที่ชอบ Like จะไม่ค่อยเยอะ แปลกมาก แต่อันไหนที่เราไม่ชอบ แล้วลง คนกดเยอะ ซึ่งลงเพราะเป็นความรู้สึก ณ ตอนนั้น แต่เราไม่ได้คิดอะไรก็ลง เราชอบอะไรที่เขียนตอนดึกๆ และจมดิ่งกับความเศร้า
รูปแบบฟ้อนท์ของ teayii และแรงบันดาลใจ
เตยเขียนหนังสือไม่สวยเลย แล้ววันที่เราเศร้า เรารีบเขียน แล้วเป็นคนเขียนหนังสือไม่ตรง เขียนขึ้นตลอดเวลา เมื่อก่อนเป็นปัญหากับการคัดลายมือมาก แต่เตยว่ามันเป็น Mode & Tone ของคนเศร้าคนหนึ่ง ที่เขียนไปเรื่อยๆ แล้วเส้นมันขึ้น มันเลยเป็นที่มาของ teayii Font เอียง และ ใช้คำตวัดแบบนั้น
ช่วงเวลาที่แย่ๆ มีความทุกข์ใจ ปัญหาส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากอะไร (แล้วจัดการยังไงกับมันได้บ้าง)
เกิดจากเราหนีเสียงตัวเอง เสียงบางเสียงที่เราไม่ได้นั่งคุยกับตัวเองจริงๆ ว่า เอายังไง เราปล่อยให้ตัวเอง Flow ไปตามบรรยากาศ ความรู้สึก สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ลืมหยุดแล้วดูว่าใช่หรือไม่ใช่ ไปอาจทุกข์ สนุกบนนรก ซึ่งเราก็ชอบจอยกับขุมแห่งเปลวไฟ กับ บางความสัมพันธ์ หรือ บางความรู้สึก ที่เรายึดติด เพราะเราเอาแต่ดันทุรัง แม้เท้าเราไม่ไหม้แต่มันเผาเราขึ้นมาจนไม่เหลืออะไรให้เดินแล้ว เตยลืมหยุดคุยกับตัวเอง หรือ ใครสักคน สมมุติว่าเราจะไปต่อแต่ถ้าหยุดคุยกกับตัวเองจริงๆ เราจะไปต่อแบบรู้อยู่แล้วว่ามันจะเจ็บ เมื่อความเจ็บมาถึงซึ่งไม่ใช่ว่าไม่เจ็บนะ เจ็บแต่น้อยลง
teayii ในวันแรกที่เริ่มทำ...จนถึง ณ ตอนนี้ เหมือน หรือ แตกต่างไปจากเดิมมากน้อยแค่ไหน?
ต่างมาก เพราะเตยไม่มีสิ่งที่ยัดเยียดคนแล้วว่า ควรจะคิดแบบนี้ เพราะตอนเขียนแรกๆ เป็น 'ควรจะคิดแบบนี้' เพราะเป็นการเขียนที่เราอยากจะบอกตัวเองด้วยว่า ควรจะ แต่ ณ วันนี้ ไม่มีคำนี้แล้ว มีแต่คำว่า 'รู้สึกได้ไม่เป็นไร' แต่เคารพมันให้มากพอ ทำความเข้าใจความรู้สึกของเราให้เป็นเหมือนนักรบ ต่อให้ความรู้สึกมันไม่เหลือซากแล้วก็ยืนนิ่งๆ ปักธงไว้ตรงนั้น ถ้าไม่พร้อมอย่าเพิ่งโอบกอดความทุกข์ก็ได้ ยืนกอดบนซากปรักหักพังแห่งความสุข แล้วเราจะเห็นทางที่เราจะไป หรือ บางทีเราเห็นการยอมแพ้
ซึ่งเป็นเคสล่าสุดที่เตยรู้สึกว่าเราได้ชัยชนะบนการยอมแพ้ของตัวเอง มีวันหนึ่งที่ร้องไห้และตื่นขึ้นมา บอกกับตัวเองว่า ไม่เอาแล้ว ยกธงขาวดีกว่า วันนั้นรู้สึกชนะมากเลย ไม่ได้ชนะใครเลย ชนะตัวเอง ไม่ส่อง IG เขาแล้ว ไม่เครียดแค้นแล้ว ไม่อาฆาตแล้ว เขาพูดอะไรเราไม่เป็นไรแล้ว ใครเข้าใจเราเขาจะเป็นคนของเรา ใครเป็นเพื่อนเราเขาจะโทรหาเราเอง ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า และเตยได้ตรงนั้น ได้สิ่งที่ไม่ต้องร้องขอ ได้อย่างเดียวคือ ได้ยอมแพ้ แต่มีประตูที่เดินไปคือชนะ เพราะวันนี้ฉันว่างเปล่าแล้ว
เพราะฉะนั้น ความแตกต่างงานเขียนของเตยคือ ตอนนี้เตยมีคำว่า 'ศิโรราบ' กับความเป็นจริงมากๆ ไม่ยัดเยียดว่าเราควจจะเป็นยังไง
มุมมองความรักในแบบฉบับของ teayii เป็นแบบไหน
มันเปลี่ยนไปจนรู้สึกไม่เหลืออะไรแล้ว เมื่อก่อนเตยเเชื่อว่าความรักของเตยมันเป็นอะไรที่ Home ความรักเมื่อก่อนคือ 'บ้านพักใจ' โลกข้างนอกไม่เคยมีผลต่อใจเตยเลย เพราะความรักของเรา ณ เวลานั้นมันแข็งแรงมาก ใครจะเป็นอะไรข้างนอกมันไม่มีผล กลับไปบ้านห่มผ้า กอดเขา ดูหนัง อยู่อย่างนั้นโดยที่มีความยึดติดเดียวคือยึดติดในเรา ซึ่งโหดเหี้ยมมาก เหมือนการฆ่าตัวตายสำหรับเตยมาก ทำไมเราถึงเชื่อได้แบบนั้น ทำไมเราถึงยกใจของเราไว้ที่ใครสักคนแล้วเรียกเขาว่า 'บ้าน' ทำไมบ้านไม่ใช่เรา พอเขาจากไปเหมือนเตยเดินหนาว เตยใช้เวลามูฟออนไวมาก แค่ 9 วัน ร้องไห้ทุกวัน แต่หลังจาก 9 วันเตยต้องทำงานแล้ว ต้องนั่งสัมภาษณ์ดาราที่วันนี้เขาอยู่ตรงหน้าเรา ต้องไปงานแถลงข่าว ต้องออกงาน ต้องเขียนงานส่งเป็น 100 คำ มันเป็นการเดินทางที่ไม่มีผ้าห่มให้ห่มแล้ว เลยฮึบมากๆ โดยการห่มผ้าให้ตัวเอง
ถ้าถามว่าความรักของเตย ณ วันนี้คืออะไร เตยว่าคือการรู้จักห่มผ้าให้ตัวเอง พอเราอุ่นพอเราจะรู้จักแบ่งปันผ้าห่มให้คนข้างๆ ตรงๆ ตอนนี้เตยไปเรื่อยมาก เจอคน ลองคุย ไม่ถูกใจก็บอกลา เจอเคสที่หนัก แต่เตยอุ่นกว่าตอนที่เขาทิ้งเตยไปอีก เหมือนเราได้สำรวจว่าคนที่เราเจอเป็นยังไง ตอนนี้เรายังไม่เจอ Home ที่ให้ใครมาแบ่งปัน เพราะทุกคนมีโมเมนท์ที่รับได้และรับไม่ได้แตกต่างกัน
แต่ ณ วันนี้ใจเตยมันไม่ได้รู้สึกขาด เพราะเราเรียนรู้ว่าผ้าห่มที่เราห่มคืออะไร และคำตอบคือความไม่แน่นอน เราห่มด้วยความเมตตาต่อใจเราเอง เตยเอาความไม่แน่นอนห่มตัวเอง เตยรู้ว่า let it be and let it go มันเป็นยังไง ถ้าใครจะออกจากชีวิตเรามีหน้าที่เดียวคือ 'เสียใจให้สุด' แล้วจะเจอสเตจต่อไปของเราเอง
ปลอบโยน หรือ ปลอบใจผู้อื่น และปลอบตัวเองอย่างไร?
เตยทำได้เพราะเตย respect time ของเรา มีคนต่อแถวยาว 30-40 คน คนแรกจบเตยกดปุ่มตัวเองเลยว่า เรื่องคนนี้จบแล้ว คนที่สองก็จบแล้ว สามจบแล้ว แต่มันจะมีบางเคสจริงๆ ที่หนักมาก ถึงขั้นเก็บไปคิด วิธีการจัดการตัวเอง ณ เวลานี้คือทำ Sound Bath (การอาบคลื่นเสียง) เอา energy คนอื่นที่เรารับมาออกจากตัวผ่านการฮีลลิ่ง
คนรุ่นใหม่มองหาพื้นที่พึ่งทางจิตใจ หรือการฮีลลิ่ง มากน้อยแค่ไหน
คนรุ่นใหม่เริ่มคุยกับตัวเองมากขึ้นมากๆ ดูจากฐานแฟน แล้วทุกคนมีวิธีการพูดคุยกับตัวเองที่แตกต่างกัน ดูจากงานเตยด้วยเพราะงานที่ทำค่อนข้างหลายรูปแบบ บางอย่างเป็นคอนเสิร์ต บางอย่างเป็นเทอราพี ซึ่งหลากหลายกลุ่มมาก แต่เด็กปัจจุบันเป็นโรคซึมเศร้าเยอะมาก เพราะโลกที่เร็วเหมือนขั้นที่แบบเขาไม่ได้หยุดแล้วรับข้อมูลเยอะมาก ถ้าสังเกตดีๆ ชีวิตเราต้องเคยคิด เตยต้องมีสุขภาพที่ดี ต้องทำงานทัน ต้องมีผิวหน้าที่ดี ต้องยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อออกงาน เสร็จแล้วต้องอัพเดทข่าวสาร อัพเดทเทรนด์ ต้องดูว่าลงคอนเทนต์ไปแล้วเป็นยังไงบ้าง ต้องครีเอทเอ็กซิบิชั่นแล้วส่งงานลูกค้า อันนี้ยังไม่หมด รวมไปถึงต้องมีความสุข มนุษย์ 1 คนใน 1 วัน ทำเกิน 10 อย่างแต่ต้องเป็นภาพแห่งความสุข เตยว่ามันโหดเหี้ยมมากสำหรับมนุษย์ที่จะทำทุกอย่างให้ได้ดั่งใจ แล้วเราแค่ลืมไปเองว่าบางอย่างมันไม่ต้องได้ดั่งใจบ้างก็ได้ พอบางคนรับไม่ได้มันเลยมีเอฟเฟคต่อใจจะมากหรือน้อยต่างกัน บางคนอาจจะพูดง่ายเพราะไม่ได้มีเรื่องสะเทือนใจ แต่แค่เลือกวิธีจัดการยังไง ยังไม่รวมเคสของบางคนที่เป็นซึมเศร้าและโดนผู้อื่นกระทำ มีหลายเคสมาก หรือ บางคนทำเพราะแรงกดดัน มีผู้อื่นทำให้รู้สึก บางคนทำให้เกิดอาการแพนิค คือแต่ละเคสแตกต่างกัน ตอนนี้โรคซึมเศร้ามีหลายประเภทมากๆ แต่เตยก็จะให้ข้อมูลถ้าใครเข้ามาหาในเวอร์ชั่น teayii
เพราะ 'ความทุกข์' และ 'ความเศร้า' คือเรื่องปกติ
โลกใบนี้มีน้ำ 70% พื้นดิน ผืนฟ้า ในร่างกายน้ำเยอะมากเลย เตยมองความเศร้าเป็นโลกที่วันนี้คลื่นน้ำในร่างกายคลื่นความเศร้ามันสูงกว่าความสุข ทำให้เราโคลงเคลงด้วยความเศร้า แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คลื่นความสุขสูงกว่า วันนั้นเราก็เป็นคนที่มีความสุข เมื่อไหร่ที่มีคลื่นความเครียดสูงกว่าคลื่นความเศร้าและความสุข วันนั้นก็ดูเป็นคนเครียด ใครที่เป็นซึมเศร้าไม่ต้องกังวลว่าวันนี้ฉันจะหาย มนุษย์มีพื้นความทุกข์อยูาในร่างกายแค่วันนั้นมันจะสูงขึ้นเมื่อไหร่ และ มีคนที่เป็นซีมเศร้าแล้วหายก็มีแลับมาหาเราแล้วบอกว่าหายแล้ว ลองคิดแบบพี่ดู แล้วไม่ไปเล่น เตยว่าจุดหนึ่งที่น่าเสียใจสำหรับผู้ป่วยซึมเศร้าคือ ทุกคนอยากรีบปกติ ซึ่งธรรมดามาก แต่ในมุมมองเตย ความทุกข์คือเรื่องปกติ วันนี้ยืนเคียงข้างความทุกข์ แต่เราไม่ใช่คนผิดปกติ เราแค่มีหน้าที่ซ่อมแซมฮอร์โมน โดยให้ยาเป็นตัวนำ แต่ร่างกายและความคิดเราคือสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดที่จะช่วยทุกคนได้
นิทรรศการที่จัดผ่านมาแล้วชื่นชอบมากที่สุดคืองานอะไร พร้อมเหตุผล
ชอบงานแรก เพราะเราเป็นงานที่เรารู้สึกตกใจกับกระแส เพราะตอนนั้นทำเล่นๆ ชื่อว่า 'AM Till PM ไม่อยากพิมพ์หาเธอแล้ว' คุยกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยันพระจันทร์ แล้ววางเซกชั่นความสัมพันธ์ไว้ตามจุดต่างๆ ก็รู้สึกว่ามันเป็นงานศิลปะได้ว่ะคำเขียนแบบที่เราเชื่อ แล้วคนเข้ามาในตึกเราที่มันไม่ได้ใหญ่มากเยอะมาก จัดแล้วจัดอีก บางคนมานอนรอ 4 ชั่วโมงเพื่อให้ได้ขึ้นเอ็กซิบิชั่นเรา เราเขียนอยู่ตรงนั้นทั้งวันทั้งคืน ซึ่งงานนั้นเปิดโลกของเราว่า คนมีปัญหาเรื่องความรักเยอะ คนอยากได้ที่พึ่งเยอะ คนเจอสถานการณ์แบบเราเยอะ แล้วคนก็เมตตาในงานศิลปะของเราเหมือนกัน งานนั้นเลยเป็นงานแรกที่เตยชอบ
เตยว่ามีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ถ้าพูดแบบโลกไม่สวย บางคนเขาอาจคิดว่าเขียนอะไรอีก เราก็อ่านแล้วเออ...จริงว่ะ เขียนไร (หัวเราะ) ด่าก็ด่าไป อย่าให้ด่ากลับแล้วกัน บางคนก็รู้สึกขอบคุณ เตยมีข้อความ DM ทุกวันที่พิมพ์มาขอบคุณ คิดว่างานเขียนของเตยเป็นงานอาร์ต จุดสูงสุดของงานศิลปะ คือ เมตตาคนที่ชื่นชอบในงานเราและเมตตาคนที่รังเกียจงานเรา คิดว่างานเราทำหน้าที่ตรงนั้นได้ดีแล้ว
ความท้าทายในการทำงาน teayii
คือ ความใหม่ค่ะ เหนื่อยมากกับการที่วันนี้เราต้องมีครีเอทีฟให้ถึงจุดที่เราพอใจ โหดมาก เพราะเตยจะเคารพสถานที่ทุกสถานที่ที่เดินทางเข้าไป เพราะมีเซนส์ในหัวแล้วว่า ไดนามิกทั้งปีนี้จะเป็นอย่างไร จะเล่นอะไรกับคำตัวเอง จะเล่นอะไรกับไดนามิกงานตัวเอง ความยากที่สุดคือ ทำยังไงให้งานของเราไม่ซ้ำ อันนี้หนัก เพราะเป็นการบ้านที่หนัก
หัวใจสำคัญของการทำ teayii
อยากให้สิ่งที่เตยทำและสิ่งที่เชื่อ มีคนเห็น ไม่ต้องแบบที่เตยเห็นก็ได้ แต่มีคนเห็นว่านี่คืองานศิลปะ คำภาษาไทยสามารถกลายเป็นงานเขียนและงานศิลปะ ให้คนอื่นๆ ได้เห็นได้รู้สึกได้เสพได้มีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนกัน ทั้งชอบและไม่ชอบ เตยเลยอยากทำคำภาษาไทยให้กลายเป็นงานศิลปะเพื่อวันหนึ่งเราจะไปโชว์ที่เมืองนอก แต่ที่เรายังไม่ไปเพราะเราเหนื่อย (หัวเราะ) ยังไม่มีเวลาและไม่พร้อมที่จะไป เพราะอยากให้คนไทยได้เสพก่อนว่ามีงานศิลปะแบบนี้นะ
ได้รับอะไรจากการทำงานตรงนี้บ้าง?
ได้รับมุมมองที่มันใหม่มากเลย ได้เห็นโลกใหม่และได้เผชิญหน้ากับความกลัวที่สุด ว่าคนจะเข้าใจเราไหม โลกใหม่ที่เผชิญหน้ากับความท้าทายที่สุด คือ วันนี้เราจะทำต่อโดยไม่ไปเบียดเบียนจิตวิญญาณตัวเอง เพราะคยอื่นจัดเอ็กซิบิชั่นปีละ 2 ครั้ง แต่เราจัดทุกเดือน จะเล็กน้อยหรือใหญ่ เราก็จัดไปเรื่อยๆ เพราะมันเป็นความสุขตัวเอง
แพลนการทำงานในอนาคตของ teayii จะเป็นยังไงต่อไป
ไม่มีแพลนเลยอ่ะ เพราะบางงานที่เราทำเราจะดูไดนามิกตรงนั้นว่า พื้นที่กรุงเทพฯขาดอะไร หรือ บางงานเรารู้สึกว่าน่าทำ ถ้าไม่เคยทำก็ทำเลย เราจะใช้ energy ตัวเองเป็นหลัก ทำตามจิตวิญญาณของตัวเอง ปีหน้าถ้าทำได้อยากไปต่างประเทศค่ะ แต่เล็งไว้แล้วว่าไปไหน หาทีมไว้แล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม ซึ่งไม่รู้ว่าไปแล้วฟีดแบคงานจะเป็นยังไง แต่เราจะไม่ค่อยเช็คฟีดแบคแบบหมกหมุ่น เตยมีเวลาดีใจนิดเดียวในแต่ละงาน เพราะต้องคิดงานหน้าแล้ว
แค่เขียน Quote เรียกตัวเองว่าศิลปินแล้ว เตยว่ากล้านะ ทำไมมั่นจัง แต่เราไม่ได้เรียกตัวเองว่าศิลปิน แต่ทุกคนให้เกียรติเรียก เพราะเราเลือกช่องทางการทำงานศิลปะผ่านรูปแบบการเขียน ถ้าครั้งหน้าเราบอกว่ามีศิลปะรูปแบบอื่น เตยก็จะทำ เราเคยทำกำกับการแสดงมาก่อน ในอนาคตอาจเลือกงานนี้ทำเป็นงานศิลปะได้
3 วิธีฮีลใจด้วยตัวเองแบบง่ายๆ สไตล์ teayii
1. ไปเจอความกลัวและดื่มด่ำกับมัน
กลัวตัวเองเสียใจ เสียใจก่อนเลย กลัวคนเข้าใจผิด ก็ให้เขาเข้าใจผิดไปเลย แล้วความจริงจะปรากฎ ยอมรับความรู้สึกในจุดที่เรากลัวที่สุดให้ได้ก่อน เช่น วันนี้เรากลัวคนเข้าใจผิด ประตูสุดท้ายคือ ประตูที่เรากลัว ให้เขาเข้าใจผิดไปเลย เราไปยืนหน้าประตูสุดท้ายก่อน หรือ วันนี้เราอาจกลัวความล้มเหลว คิดไปก่อนว่าเรายืนหน้าประตูนั้น ล้มเหลวของเราแปลว่าอะไร เช่น ฟีดแบคไม่ดี หรือ จะมีดราม่า หรือ ประตูที่เราไปยืนสุดท้ายน่ากลัวจังเลย บางคนอาจจะไม่รักเราแล้ว หรือ พูดถึงเราไม่ดี ให้ไปยืนหน้าประตูนั้นก่อน แล้วจะเจอข้อสอง
2. ค่อยๆ พบความจริง
เสียใจแล้วยังไงต่อ เขาไม่อยู่แล้วนะ นี่คือความจริง เขาเข้าใจผิดไปแล้วเอาไงต่อ ทางเลือกมีทั้งอธิบายและไม่อธิบาย นี่คือความจริง เพราะความจริงจะมีทางออกให้เราเลือก และทางออกที่เราเลือกบางทีไม่จำเป็นต้องถูกใจเราด้วย แต่มันถูกต้องก็พอ หรือ มันอาจไม่ถูกต้องแต่ถูกใจ ณ เวลานั้น เพราะเราดันทุรัง ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ อยู่ในความสัมพันธ์หนึ่งที่เรารู้อยู่แล้วว่าความจริงเป็นไปไม่ได้ อยากอยู่ก็อยู่สิ เดี๋ยววันหนึ่งเราจะกลับไปข้อที่ 1 เอง
3. การนอบน้อมต่อความผิดพลาด
ที่ใช้คำนี้เพราะไม่มีใครให้โอกาสตัวเราได้นอกจากตัวเรา ล่าสุดเอ็กซิบิชั่นที่ปิ่นเกล้า ไม่เคยไปฝั่งนั้นเลย เราเห็นเด็กนักเรียนมาเล่าว่าวันนี้สอบได้แต่ไม่ภูมิใจในตัวเอง ซึ่งเรามีโอกาสภูมิใจโอกาสเดียวคือเดี๋ยวนี้ ดีที่สุดไม่มีจริง มีแค่ดีแล้ว และดีแล้วมันจะทำให้เราดีที่สุดไปเอง
ทำ 3 ข้อนี้แล้วจะทำให้เราอยากกลับมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อตัวเราเอง เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่มีใครช่วยเราได้ เขาทำได้แค่อยู่ข้างๆ