‘พ่อครับ ผมเป็นเกย์’
‘แม่คะ หนูไม่ได้ชอบผู้ชาย’
และอีกสารพัดคำสารภาพที่ถูกใช้เพื่อประกาศให้สังคมรู้ว่า ‘ฉันเป็น LGBTQ+’ เป็นสิ่งที่เราเห็นได้จากแทบทุกพื้นที่บนโลกโซเชียล หรือแม้แต่ในชีวิตจริงก็อาจมีจังหวะที่เราได้เข้าไปเห็นการ ‘Come out’ ของใครสักคน (หรือแม้แต่ของตัวเอง) ซึ่งก็อาจจะดูเป็นเรื่องปกติในสังคมที่ LGBTQ+ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรอีกต่อไป
แต่นั่นแหละคือประเด็นหนึ่งที่ทำให้เราสงสัยว่า ในโลกที่พัฒนาไปข้างหน้าทุกๆ วัน เพื่อเปิดกว้าง และโอบรับความแตกต่าง ‘การ Come out ยังจำเป็นอยู่หรือไม่?’ ยิ่งในเดือนแห่งการเฉลิมฉลองความหลากหลาย และสิทธิความเท่าเทียมแบบนี้ อาจจะถึงเวลาที่เราต้องมาลองคิดกันอีกครั้งถึงประเด็นการ Come out ในสังคมปัจจุบัน แม้จะพูดว่าทัศนคติทางสังคมก็พัฒนาขึ้นแล้ว การผลักดันกฎหมายต่างๆ ก็กำลังดำเนินไปในสังคม ทำให้การออกมาเปิดเผยตัวตน หรือประกาศตัวว่าเป็น LGBTQ+ อาจจะแฝงไว้ด้วยนัยที่สำคัญต่อตัวตน สังคม และวัฒนธรรมของคนๆ หนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่า การออกมา Come out จะเป็นประสบการณ์ที่ดีของทุกคน เมื่อการเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศของบางคนอาจแฝงไว้ด้วยการถูกบังคับ หรือกดดันให้เผยตัวตน บางคนก็อาจจะเจอประสบการณ์ที่ทำให้บังเอิญเปิดเผยตัวตนอย่างไม่ได้ตั้งใจ สิ่งเหล่านี้อาจจะสร้างให้เกิดผลกระทบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกถึงตัวตน, ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง, ความไม่มั่นคงของสภาวะอารมณ์, บางคนอาจจะเกิดบาดแผลในใจ หรือถูกทำร้ายร่างกายก็มีให้เห็น สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เราได้รับรู้ว่า การออกมาเปิดเผยตัวตน ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของคนๆ หนึ่ง และคนที่รายล้อมในชีวิตพวกเขา เพราะฉะนั้นเรื่องราวที่แสนละเอียดอ่อนนี้ ทำให้เราอยากชวนทุกคนมาคุยถึงประเด็นของการ Come out ไปด้วยกัน
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a3637c8c4a9efef68204_Come-Out_01-2048x1152.jpeg)
สังคม(ที่ดูเหมือน)เปิดกว้าง
ก่อนที่เราจะเข้าสู่เรื่องของการ Come out เราคงต้องมาดูกันถึงบริบทของสังคมปัจจุบันกันก่อน ซึ่งในปัจจุบันการยอมรับกลุ่ม LGBTQ+ ก็มีมากขึ้นในสังคม สังคมไทยเปิดกว้างขึ้นมากจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนเริ่มออกมาแสดงความเป็นตัวของตัวเอง และยอมรับการมีอยู่ของอัตลักษณ์ที่หลากหลายมากขึ้น คนเริ่มมีความเข้าใจว่า อัตลักษณ์ทางเพศในสังคมมีหลากหลาย ไม่ได้มีแค่ผู้ชาย ผู้หญิง เกย์ ไบ เลสเบี้ยน ทอม ทรานส์ เควียร์อีกต่อไปแล้ว แต่มันละเอียดอ่อน ซับซ้อน และหลากหลาย ซึ่งการที่ LGBTQ+ แสดงออกได้อย่างเปิดเผย ก็เป็นหนึ่งในภาพสะท้อนว่า สังคมมีความเข้าใจเรื่องความหลากหลายมากขึ้นแล้ว (หรืออย่างน้อยๆ ก็พยายามเข้าใจเรื่องความหลากหลายมากขึ้น)
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a3637c8c4a9efef681f4_Come-Out_02-2048x1365.jpeg)
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ก็เพิ่งมีการจัดงาน ‘Bangkok Pride 2023’ กันไปหมาดๆ กับพาเหรดที่เฉลิมฉลอง และเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมในเดือน Pride Month ซึ่งในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘Beyond Gender’ ผ่าน 6 ขบวนพาเหรดที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘สุขภาวะของผู้หลากหลายทางเพศ’ ก็สะท้อนให้เราเห็นแล้วว่า เรื่องของความหลากหลายนั้นก้าวผ่านไปถึงจุดที่คอมมูนิตี้ของ LGBTQ+ อยากทำความเข้าใจกับสังคมมากขึ้นกว่าแค่เรื่องตัวตน หรืออัตลักษณ์ทางเพศ เพราะเรื่องของความหลากหลายนั้นมีมุมมองอีกหลายมิติที่เราสามารถหยิบยกมาพูดกันได้ นอกจากงาน Bangkok Pride 2023 แล้ว ในปีนี้เมืองท่องเที่ยวอีกหลายเมืองก็ยังจะมีการจัดงานเพื่อเฉลิมฉลอง Pride Month ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น เชียงใหม่ ขอนแก่น พัทยา หรือภูเก็ต เรียกได้ว่าประเด็นเรื่องความหลากหลายกำลังกระจายไปทุกๆ พื้นที่ในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงอย่างนั้น หากเราจะมองให้ครบทุกมุมในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการยอมรับ และเปิดกว้างให้กับความหลากหลายในสังคมมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่ได้เห็นข่าวที่ LGBTQ+ บางคนไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมรอบข้าง บางคนถึงขั้นถูกทำร้ายก็มีให้เห็น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นย่อมสร้างบาดแผลให้กับใครหลายๆ คนอยู่ไม่น้อย ซึ่งมุมมองในฝั่งนี้ก็กระจายอยู่ทั่วไปในสังคมเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นแวดวงกีฬาอย่างกรณีของ ‘จิมมี่’ นักกีฬา Kickboxing ทีมชาติที่ถูกสมาพันธ์ฯ เอชีย สั่งห้าม ‘ออกสาว’ เพียงเพราะเขาฟูลเทิร์นหลังจากได้รับชัยชนะ หรือแม้แต่เรื่องพ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่คอมมูฯ LGBTQ+ ต้องออกมาเรียกร้องกันอยู่
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a3637c8c4a9efef681ca_Come-Out_03.jpeg)
จากผลสำรวจประชากรไทย 3,502 คน ในปี 2018 ของ World Bank พบว่า ทั้งการทำงาน และการบริการของรัฐ ยังมีการเลือกปฏิบัติทางเพศอยู่ โดย 77% ของ Transgender ยังคงถูกปฏิเสธเข้าทำงาน รองลงมาคือ กลุ่ม Lesbian ที่ 62% และ เกย์ที่ 49% โดยที่ Transgender กว่า 40% ก็ยังคงต้องเผชิญกับการล้อเลียน รวมถึง LGBTQ+ กว่า 24% ยังคงถูกบังคับให้ต้องปิดบังตัวเอง
เมื่อเราได้เห็นแล้วว่าในสังคมที่เหมือนจะเปิดกว้างก็ยังคงมีมุมหนึ่งของสังคมที่อาจจะไม่ยอมรับความหลากหลายนี้เช่นกัน ถึงอย่างนั้นการแสดงออก และเปิดเผยตัวตนก็เป็นเรื่องดีที่ทำให้คนๆ หนึ่งมีอิสระในการใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องบดบังความเป็นตัวเอง อย่างที่เราเห็นศิลปิน ดารา ทั้งไทย และต่างประเทศทยอยกันออกมา Come out อยู่เรื่อยๆ รวมถึงงานวิจัยจำนวนไม่น้อยต่างระบุว่า การ Come out มีผลดีต่อสุขภาพจิต และการแสดงตัวตน รวมไปถึงยังสร้างผลดีต่อระบบการทำงานในบริษัท มากกว่าสังคมการทำงานที่ไม่เปิดรับความหลากหลาย แต่ทั้งนี้ก็พูดได้ว่า งานวิจัยเหล่านั้นคือ ผลสำรวจจากผู้ที่มี ‘ความพร้อม’ ในการที่จะออกมาเปิดเผยตัวตน
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a3637c8c4a9efef681d3_Come-Out_04.jpeg)
‘สถานการณ์บังคับ’ กับเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตเหล่า LGBTQ+
เมื่อพูดถึงความพร้อม เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในหลายๆ โมเมนต์ของ LGBTQ+ การเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศของพวกเขาก็มาจากการถูกบังคับ กดดัน หรือความไม่ตั้งใจ
เราเชื่อว่ามี LGBTQ+ จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในวัยเรียน ซึ่งเป็นช่วงวัยแห่งการค้นหาตัวตน และก่อร่างสร้างความเป็นตัวเอง ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์บีบบังคับ ที่ทำให้พวกเขาต้องเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศต่อสังคมที่เขาอยู่ ทั้งที่บางคนอาจจะยังไม่รู้สึกแน่ชัดในอัตลักษณ์นั้นๆ เสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นการถูกชี้หน้า และเรียกด้วยคำพูดที่กดทับทางเพศ เพียงเพื่อให้คนๆ หนึ่งต้องจำใจยอมรับสถานะนั้นๆ หรือแม้แต่คุณครูที่ดูเหมือนจะ ‘หวังดี’ รายงานพฤติกรรมที่มองว่า ‘เบี่ยงเบน’ ต่อผู้ปกครอง โดยไม่ถามความพร้อม หรือความสมัครใจของเด็กคนหนึ่งก่อน นั่นไม่ใช่การกระทำที่เกิดผลดีเลย เพราะคุณครูควรจะเป็นหนึ่งคนที่สร้างความปลอดภัยให้กับเด็ก ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เพราะเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าภายหลังการรายงานพฤติกรรมนั้น เด็กหนึ่งคนจะต้องเจอกับอะไรบ้าง (นี่ยังไม่ได้รวมไปถึงการที่ครู หรือเพื่อนร่วมชั้นเป็น Homophobia เลยด้วยซ้ำ)
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a3627c8c4a9efef680e3_Come-Out_05.jpeg)
แม้กระทั่งกับดาราวัยรุ่นอย่าง ‘Kit Connor’ นักแสดงจากซีรีส์ชื่อดัง ‘Heartstopper’ ก็ได้ออกมาทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขา เมื่อปี 2022 ว่า
“ผมเป็นไบ ยินดีด้วยกับการบังคับให้เด็กอายุ 18 ต้องเปิดเผยตัวตน ผมคิดว่าพวกคุณบางคนคงไม่เข้าใจแก่นของซีรีส์ บาย”
ก่อนที่เขาจะออกมาทวีตข้อความอีกครั้งว่า
“ทวิตเตอร์นี่ตลกดีนะ เห็นชัดๆ เลยว่าบางคนในนี้รู้จักเพศวิถีของผมดีกว่าตัวผมเอง…”
ซึ่ง Kit Connor ไม่ใช่คนแรก และคนเดียวที่ถูกปฏิบัติแบบนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เขาก็คงจะไม่ใช่คนสุดท้ายด้วยเช่นกัน เราต้องเข้าใจก่อนว่า การออกมาเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศอาศัยแค่ความพร้อมทางจิตใจของผู้มีความหลากหลายอย่างเดียวไม่ได้ สังคมรอบข้างเองก็ต้องพร้อมที่จะเปิดรับเช่นกัน ซึ่งหลายๆ ครั้ง การออกมาเปิดเผยตัวตนของ LGBTQ+ นั้น ได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a3627c8c4a9efef6818d_Come-Out_06.jpeg)
มีผลสำรวจในอเมริกาออกมาระบุว่า หลายๆ ครั้งการออกมา Come out ของวัยรุ่นส่งผลให้พวกเขาต้องหนีออกจากบ้าน แตกหักกับครอบครัว สังคม และต้องระเห็จออกมาใช้ชีวิตลำพัง โดยข้อมูลรายงานว่า คนไร้บ้านที่เป็นวัยรุ่นใน East coast และ West coast ของสหรัฐอเมริกาจำนวน 25 - 50 เปอรเซ็นต์ เปิดเผยตัวเองว่าเป็น LGBTQ+ โดยการรายงานนี้ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่คนไร้บ้านที่เป็น LGBTQ+ เลือกย้ายไปอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นเพื่อมองหาสังคม หรือพื้นที่ๆ เปิดรับพวกเขา ซึ่งที่นั่นมีการคุ้มครองทางกฎหมายที่ดีกว่า และมีทางเลือกให้กับสังคม LGBTQ+ มากกว่า
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a3637c8c4a9efef681e9_Come-Out_07-2048x1366.jpeg)
Come out เพื่อเรา? หรือ เพื่อใคร?
จากที่คุยกันมาจนถึงตอนนี้คงต้องยอมรับว่า การ Come out ยังคงเป็นประเด็นที่มีความเปราะบางอยู่ ถึงแม้ว่ามันจะมีข้อดีในเรื่องของการแสดงตัวตน และจุดยืนทางสังคมที่ทำให้ปลดแอกอิสรภาพในการใช้ชีวิตของหลายๆ คนได้ แต่ในอีกมุมมันก็สามารถกดทับ และสร้างบาดแผลให้ใครสักคนหนึ่งต้องจมอยู่กับการไม่ยอมรับ และเปลี่ยนชีวิตของคนๆ นั้นไปอย่างสิ้นเชิง
กลับมาที่คำถามของเราว่า ‘การ Come out ยังคงจำเป็นอยู่ไหม?’ เพราะหากลองมองถึงบริบทของสังคมตอนนี้ที่เปิดกว้างมากขึ้น เรื่องของความหลากหลายก็ก้าวข้ามไปสู่จุดที่คนมองถึงมิติอื่นๆ ของสิทธิความเท่าเทียม ไม่ใช่แค่เรื่องเพศวิถีอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นคนๆ หนึ่งยังคงจำเป็นจะต้องออกมาประกาศให้โลกรู้อยู่อีกหรือไม่ว่า พวกเขามีเพศอะไร และตัวตนของพวกเขาเป็นอย่างไร มองในอีกมุมหนึ่ง ทำไมชายจริง หญิงแท้ถึงไม่จำเป็นต้องออกมาพูดว่า ‘ผมเป็นผู้ชายครับ’ ‘ฉันเป็นผู้หญิงค่ะ’ ทั้งที่นั่นก็คือ เพศหนึ่งเช่นกัน (นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เห็นความไม่เท่าเทียมทางเพศที่แทรกซึมอยู่) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเห็นแล้วว่าการ Come out สามารถเกิดผลเสียต่อคนๆ หนึ่งได้มากแค่ไหน
![](https://cdn.prod.website-files.com/649174dcab676e52a64ce81a/6492a3637c8c4a9efef681cd_Come-Out_08-2048x1267.jpeg)
ท้ายที่สุดการแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเอง ควรเป็นการแสดงออกถึงจุดยืนที่จะทำให้คนๆ นั้นสบายใจที่จะเป็นตัวเอง ซึ่งถ้าใครไม่ต้องการเปิดเผย หรืออาจจะไม่ได้ปิดบังอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องประกาศออกมา นั่นก็เป็นสิทธิของเขา เพราะการยอมรับตัวตนของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องตะโกนออกไปให้ใครฟังก็ได้ สิ่งที่น่าคิดที่สุดคือ จริงๆ แล้วเรา Come out เพื่อวัตถุประสงค์อะไร หรือเพื่อความสบายใจของใครกันแน่
อ้างอิง