Art

The Unwavering Self: จิ๊กซอว์ที่จะต่อตัวเองเรื่อยๆ โดยไม่เสียรูปทรง และตัวตนที่มั่นคงของ ‘Guncharlie’

หลังจากปล่อย 2 เพลงช้าที่พาให้ทุกคนเพลิดเพลินไปในห้วงของความคิดถึงอย่าง ‘Lost Jigsaw’ และ ‘สถานะคนรับรถ’ ‘กัน’ – เสฐพงษ์ เอวสุข หรือ ‘Guncharlie’ ศิลปินสังกัดค่าย Kick Records ก็ได้ปล่อยเพลง ‘คนที่คุณอาจรู้จัก’ (People You May Know) ที่กัดกินหัวใจคนฟังด้วยเสียงร้อง และทำนองอันแสนเศร้า แต่ใครกันจะไปคิดว่า คนที่กำลังร้องเพลงอยู่นี้คือ เด็กที่เคยหลงใหลในเพลงแร็ปถึงขั้นเคยขึ้นเวทีประกวด The Rapper 2 เมื่อราว 4 ปีที่แล้ว

ในวันที่มีโอกาสได้มาเจอกัน เราจึงพูดคุยกับเขาถึงสิ่งที่หล่อหลอมให้มีศิลปินชื่อ Guncharlie กับตัวตนที่พยายามรักษาไว้ จากอดีตที่เคยเกือบเสียมันไป มาสู่ปัจจุบันที่ทำเพลงอย่างจริงใจ เขาค้นหาและเก็บชิ้นส่วนของตัวตนขึ้นมาประกอบจนขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือนจิ๊กซอว์ที่วางต่อกันเป็นรูปเป็นร่างด้วยตัวของมันเอง

ไม่ใช่ ‘Charlie.G’ แต่คือ ‘Guncharlie’

“Guncharlie (กันชาร์ลี) เป็นชื่อเล่นที่ใช้สมัครเกมครับ ตั้งแต่ช่วงมัธยมต้นเลย ตอนนั้นผมเป็นเด็กห่ามๆ ชื่อเล่นชื่อ ‘กัน’ ก็เลยจะตั้งชื่อในเกมว่า ‘Gunchar’ แต่มีคนใช้ชื่อนี้ไปแล้ว ต้องหาคำมาห้อยท้าย จนจบที่ Guncharlie นี่แหละครับ ให้มันดูฝรั่งหน่อย แล้วก็พ้องกับคำว่า ‘กัญชลี’ สแลงของหมู่แร็ปเปอร์ที่แปลว่ากัญชา แต่เราไม่ใช้คำว่า ‘ชลี’ ใช้คำว่า ‘ชาร์ลี’ แทนครับ”

“ก่อนหน้านี้ใช้ชื่อว่า ‘กัน เสฐพงษ์’ นี่แหละครับ แต่รู้สึกว่ามันดูธรรมดาเกินไป เราเองก็มีชื่อเล่นเดียวที่ใช้ในเกมมาตลอดด้วย แต่ช่วงที่แข่ง The Rapper 2 ใช้ชื่อ ‘Charlie.G’ มันเกิดจากที่ผมออดิชั่นผ่านเข้ารอบไปแล้วครีเอทีฟของที่นั่นบอกว่าต้องเปลี่ยนชื่อนะ เพราะคำว่ากัญชามันสุ่มเสี่ยงต่อการออกอากาศ เขาก็เลยคิดให้ว่าเป็น Charlie.G ดีไหม ซึ่งตอนนั้นผมยังเป็นแค่เด็ก ม.4 ก็เลยตอบตกลงไป ผมทำใจยอมรับได้ หลังรายการจบก็ยังใช้ชื่อนี้ปล่อยเพลงอยู่ 1-2 เพลง แต่เมื่อผ่านไปนานๆ ทุกครั้งที่ได้ยินคนเรียก Charlie.G มันไม่รู้สึกเหมือนว่าเขาเรียกชื่อเรา ผมก็เลยเปลี่ยนชื่อกลับ ถึงแม้คนจะงง สับสน หรือหากันไม่เจอเวลาที่ปล่อยเพลง แต่ผมก็ไม่สนแล้ว เพราะผมอยากใช้ชื่อ Guncharlie ชื่อนี้มีความเป็นชื่อจริงอยู่ด้วย ทำให้บางคนสงสัยว่าเป็นชื่อผมจริงๆ หรือเปล่า ในขณะที่ Charlie.G ฟังยังไงก็เป็นชื่อของแร็ปเปอร์คนหนึ่ง ผมก็เลยเฉยๆ กับมัน”

‘ตัวตน’ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากจะเสียไป

เมื่อได้ยินคำตอบของคำถามที่ผ่านมา เราก็สังเกตได้ว่ากันให้ความสำคัญกับคำว่า ‘ตัวตน’ มาก และพยายามรักษามันเอาไว้เสมอ หลังจากประสบการณ์ที่สูญเสียเศษเสี้ยวของความเป็นตัวเองไปกับชื่อในวงการ เราจึงถามเขาต่อไปว่า การตระหนักถึงตัวตนทำให้ยิ่งรู้สึกหวงแหนมันมากขึ้นไปด้วยหรือเปล่า

“มันทให้ผมยืนหยัดเพื่อตัวเองมากขึ้นครับ สมัยก่อนอาจจะเป็นคนประเภทที่อะไรก็ได้ ยอมไปก่อน แต่หลังจากโตขึ้นก็เริ่มรู้สึกว่า เราควรมีเส้นแดนให้กับอะไรที่เป็นความส่วนตัวของเรามากขึ้น เข้มแข็งกับตัวเองมากขึ้น เข้มแข็งกับสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามันใช่ อย่างเช่น การแต่งเพลง ทำเพลง ผมเป็นคนมีดนตรีหลากหลายแนวที่ชอบทำ แต่จะมีอยู่แนวเดียวที่ชอบมากมาตลอด ซึ่งมันอาจจะไม่ได้แมสมากสำหรับยุคนี้ ตัวผมเมื่อก่อนจะเก็บส่วนที่ชอบเอาไว้ และไปทำแนวที่หลายๆ คนต้องการมากกว่า แต่ถ้าเป็นตอนนี้ ผมคิดว่า ในเมื่อเราโตขึ้น เก่งขึ้น เราก็ควรจะผสานสิ่งที่เป็นตัวเราจริงๆ สิ่งที่เราชอบจริงๆ กับสิ่งที่คนอยากฟังเข้าด้วยกัน คนเก่งคือคนที่สามารถทำได้ ก็เลยอยากให้คนเห็นอย่างนั้นมากกว่าครับ”

“ผมอยากทำให้คนชอบโดยที่ไม่ต้องสูญเสียตัวตน”

ไม่ยอมคน แต่ก็ไม่แข็งทื่อ

“ผมอาจจะดื้อ แต่ก็ค่อนข้างเรียบร้อยนะ ไม่ได้เกเร ผมเป็นคนดื้อตาใสมากกว่า เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมแย้งกฎระเบียบของโรงเรียนที่ไม่เมกเซ้นส์มาตลอด อย่างเรื่องทรงผม เคยนั่งอยู่เฉยๆ แล้วครูเอากรรไกรมาตัดผม แค่เพราะผมไม่ฟังเขา ตอนนั้นโมโหครับ แต่ก็ไม่เห็นทางว่าเราจะทำอะไรได้ ทำได้แค่ระบายความโกรธกับสิ่งต่างๆ ไป แต่ตอนนั้นมี change.org ให้กรอกและยื่นแบบฟอร์มถึงกระทรวง เราก็กรอกเรื่องทรงผม แต่ทำได้แค่นั้น รู้อยู่แก่ใจว่าถ้ามันเปลี่ยนได้คงเปลี่ยนไปนานแล้ว”

“ในช่วงเด็กๆ การจัดการอารมณ์ของผมยังไม่ดีมาก ถึงกับเตะกำแพง (หัวเราะ) แค่ผมถือคติว่าจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเพราะผม จะไม่เอาเปรียบใคร ผมก็ทำได้แค่ลงกับสิ่งของ ผมไม่ได้ระบายกับเพื่อน หรือคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ผมไม่ชอบให้ใครมารุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผม ถึงจะถึงขั้นมีเรื่องมีราวบ้าง เข้าห้องปกครอง แต่ไม่ได้เป็นเด็กเกเร ในส่วนของการทำงาน ผมก็ไม่ได้ไม่ยอมแบบ “ฉันก็เป็นของฉันอย่างนี้ ใครห้ามมาเปลี่ยนเด็ดขาด” ไม่ใช่อย่างนั้น ในการทำงาน ผมทำงานกับพี่ๆ และทุกอย่างที่เขาพูดมันเมกเซ้นส์ เราคุยกันด้วยเหตุผล ทุกคนให้เกียรติกันและกัน อะไรที่ผมต้องทำก็ทำ ก็เลยไม่มีปัญหาครับ”

อิทธิพลจากพ่อ ผู้หล่อหลอมให้รักในเสียงดนตรี

กันเล่าให้เราฟังว่า ความชื่นชอบในเสียงดนตรีของเขานั้นมีมาตั้งแต่สมัยที่ยังจำความไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็รายล้อมไปด้วยเพลงหลากหลายแนวที่พ่อของเขาเป็นคนเปิด โน้ตดนตรีเหล่านั้นต่างซึมซับ ผลักดันให้เขาค้นหาสไตล์ที่ใช่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

“ผมเป็นคนฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อของผมค่อนข้างที่จะเป็นนักฟังเพลง ที่บ้านมีชั้นลอยที่เต็มไปด้วย CD เป็นหมื่นแผ่น แล้วพ่อผมก็เปิดทั้งวัน ไม่ว่าจะตอนตื่นนอน ก่อนนอน ตอนขับรถไปส่งผมที่โรงเรียน ผมก็เลยได้ยินเสียงดนตรีหลายๆ แนวมาโดยตลอด อย่างตอนเช้าเปิดเพลงเมทัล ตอนบ่ายเปิดเกิร์ลกรุ๊ปญี่ปุ่น ตอนเย็นเปิดอัสนี-วสันต์ บางทีก็เปิดแจ๊ส เปิดคลาสสิก พอโตขึ้นผมก็เริ่มที่จะค้นคว้าเพลงด้วยตัวเอง แล้วก็ค้นพบว่าหลายๆ เพลงมันหล่อหลอมเรามา บางเพลงให้แนวคิดที่ทำให้โตขึ้น บางเพลงแหกปากแทนเรา ระบายความแค้นแทนเรา บางเพลงร้องไห้แทนเราได้ ผมคิดว่ามันวิเศษมากๆ ก็เลยคิดว่า ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ก็คงดี”

“ผมโตมาตั้งแต่ยุคเทป Journey ในการฟังเพลงเริ่มจากเมทัลหนักๆ เลยครับ ตอน ม.1 ผมเป็นมือกลองโรงเรียนด้วย เล่นจนถึงตอนมัธยมปลายเลยครับ กลองเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่หัดแล้วเก่งที่สุดเท่าที่เล่นมา จริงๆ ผมก็เล่นกีตาร์ได้ เบสก็ฝึกมาแล้ว เปียโนด้วย แต่กลองเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรก เล่นจนได้ไปแข่งงานศิลปหัตถกรรม ได้ทุนเรียน ตอนนั้นมีไอดอลเป็น ‘X Japan’ และฝันว่าจะเป็นมือกลองอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นเมทัลหัวรุนแรง ไม่ชอบเพลงป๊อป (หัวเราะ) แต่การฟังเพลงมันก็ขยายแนวทางไปเรื่อยๆ พอช่วง ม.ปลาย ผมก็เริ่มฟังแจ๊ส เริ่มเห็นความสวยงามของเพลงคลาสสิก เริ่มรู้จักโซล อาร์แอนด์บี แร็ป จนเข้ามหาวิทยาลัยก็เริ่มรู้จักความสวยงามของเพลงป๊อปขึ้นมา”

“ผมเชื่อว่าเพลงสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ และมีอิทธิพลต่อแนวทางการใช้ชีวิตของเราอย่างมาก ผมก็เลยอยากทำเพลงที่มีความจริงใจ ไม่เกี่ยงว่ามันจะถูกนำเสนอเป็นแร็ป ป๊อป หรือว่าอินดี้ แต่มันต้องมีอะไรสักอย่างที่จริงใจ นี่คือแนวเพลงที่ผมชอบ”

ดนตรีที่บ่งบอกว่านี่ล่ะ Guncharlie

จากเฮฟวี่เมทัล สู่แจ๊ส คลาสสิก โซล อาร์แอนด์บี แร็ป มาจนถึงป๊อป กว่าจะมาถึงตรงจุดนี้ เรียกได้ว่ากันสัมผัสกับดนตรีมาหลากหลายรูปแบบจริงๆ มันทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ต้องเป็นเพลงแนวไหนถึงจะมีความเป็น ‘Guncharlie’ แต่ดูเหมือนว่าจังหวะ และทำนองคงไม่ใช่สิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงเพลงของเขา เนื้อร้องที่อยู่ในนั้นต่างหาก คือนิยามที่ตรงที่สุด

“ความจริงใจในเนื้อเพลงครับ ผมเริ่มจะค้นพบแนวทางเพลงจากเพลง ‘Lost Jigsaw’ ซึ่งตอนนี้เป็นเพลงที่กำลังมาประมาณหนึ่ง เป็นล้านวิวแรกที่ผมได้ หลายคนที่ฟังเพลงนี้ก็บอกว่าแนวมันเปลี่ยน เขาฟังเพลงนี้แล้วร้องไห้ ทั้งที่มันเป็นเพลงรัก เขารู้สึกเหมือนถูกกอดอยู่ บางเพลงก็มีความอบอุ่นแต่เหงาภายในใจ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ผมเคยรู้สึกตอนเด็กๆ เพลงสามารถส่งผลต่อเราได้ขนาดนี้แหละครับ”

“ถ้าฟังจากซิงเกิ้ลแรกของผม ‘ศูนย์คูณอะไรก็ได้ศูนย์’ จะรู้ว่ามันเป็นเพลง TikTok ถามว่าไม่ชอบเหรอ ไม่ใช่ไม่ชอบ ผมทำได้ และก็คิดว่ามันเป็นแนวเพลงหนึ่งที่น่าสนใจ แต่เทสต์ส่วนตัวที่ผมฟังมาตั้งแต่เด็กๆ คือแบบนี้ ตอนแรกกะเอาไว้ว่าเป็นเพลงที่ปล่อยเล่นๆ เลยครับ เป็นเพลงที่พี่แทนชอบ แต่เพราะเพลงมันแตกต่างจากที่นิยมในท้องตลาด ผมก็เลยกังวลถึงความเป็นไปได้ที่คนจะเข้ามาฟังที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คาดหวังครับ อยากปล่อยเฉยๆ ถ้าเป็นเพลงอื่นก็จะคาดหวัง มีการคิดว่ากลุ่มตลาดคือกลุ่มนี้ โปรโมตอย่างนี้ แต่เพลงนี้ไม่ได้โปรโมตอะไรเลย ปล่อยไปอย่างนั้น แต่กลับเป็นเพลงที่มาที่สุด แสดงว่าสิ่งที่ผมเชื่อมันยังถูกต้องอยู่ครับ”

“การมาของ Lost Jigsaw มันเป็นความบังเอิญประมาณหนึ่ง อย่างที่บอกว่าเนื้อเพลงจะมีความจริงใจ ซึ่งความจริงใจเกิดขึ้นได้จากการที่ตัวผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้หยิบดินฟ้าอากาศมาแต่ง อันนี้เป็นวิธีของผมนะ ถ้าจะเล่าหรือโกหกอะไรให้คนอื่นเชื่อ มันต้องพูดความจริง 70% แล้วก็โกหก 30% เช่นเดียวกับการทำเพลงของผมที่ใส่ความโรแมนติกเวิ่นเว้อที่อาจจะไม่ใช่ความจริงไป 30% แล้วก็ความโหดร้ายของความจริงไป 70% มันจะกลมกล่อมพอดี ตอนแรกผมก็กังวลว่าสักวันหนึ่ง เรื่องราวในชีวิตของผมคงจะหมดในการทำเพลง แต่ผมก็เอาตัวเองออกไปเจอผู้คนเยอะขึ้น เรียนรู้ที่จะเข้าใจมุมมองของทุกคนมากขึ้น ดูหนังให้มากขึ้น ฟังเพลงให้มากขึ้น ส่วนนี้มันช่วยครับ เพราะว่าเราโตขึ้นทุกวัน มุมมองที่มีต่อความรักกับชีวิตก็เปลี่ยนไปทุกวัน เพลงเองก็อาจจะโตไปตามวัยของผมด้วย”

“ได้ทำในสิ่งที่ชอบไปเรื่อยๆ” คือความคาดหวังที่มีต่ออนาคต

ในอนาคต ความคิดและทัศนคติก็มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเติบโต แต่สิ่งหนึ่งที่กันไม่อยากให้เปลี่ยนแปลง ก็คือการที่เขาได้ทำในสิ่งที่ชอบไปเรื่อยๆ อย่างการประกอบโน้ตดนตรีให้ออกมาเป็นเพลงเพลงหนึ่งนั่นเอง

“สิ่งที่คาดหวังคือ อยากจะทำเพลงที่ตัวเองชอบไปเรื่อยๆ ครับ ส่วนเรื่องของคนฟัง ยอดวิว มีคิดเอาไว้อยู่ว่าปีนี้ต้องได้สักสิบล้านวิว เรื่องนี้มันไม่สามารถควบคุมได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือการคงความคิดแบบนี้ไว้ให้ผมยังเป็นตัวเองอยู่ ผมกลัวว่าบางครั้ง การทำงานในอุตสาหกรรมจะบิดเบือนเราไปบ้าง แต่ก็อยากจะคงความเป็นตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุดครับ”

“ผมอยากให้คนมาฟังเพลงเยอะๆ ครับ ผมคิดว่าเป้าหมายสูงสุดของศิลปินทุกคนคือการที่คนได้ยินเพลงของเรา และเราก็สามารถเลี้ยงชีพได้ด้วยการทำเพลง ซึ่งการที่จะทำแบบนั้นได้ก็ต้องเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง มันก็เลยเป็นเป้าหมายว่าสักวันจะต้องไปถึงจุดนั้นให้ได้”

“ผมพร้อมจะเป็นศิลปินที่สุดเท่าที่ผมจะพร้อมได้สำหรับทุกวันครับ ถึงจะยังไม่ได้เก่งมาก แต่ผมก็พร้อมที่สุดสำหรับตอนนี้ และก็จะดันบาร์ตัวเองไปให้ถึงจุดที่สามารถไปได้ ความพร้อมของผมอาจจะไม่ได้ดีพอสำหรับตรงโน้น หรือว่าดีพอสำหรับตรงนี้ แต่ว่ามันดีที่สุดเท่าที่ทำได้แล้ว ต่อให้ยังไม่ดีพอสำหรับตรงไหนหรือใครก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ทำได้คือเตรียมพร้อมต่ออะไรก็ตามที่จะเข้ามา ถึงจะสู้ไม่ไหว จะโดนซัดหน้าหงาย แต่พร้อมเจอนะครับ”

การทำงานกับ Kicks Records ที่คอยขัดเกลาโดยไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา กันได้เซ็นสัญญาจับมือร่วมกับค่าย Kick Records จากที่เคยเป็นศิลปินอิสระมาก่อน แน่นอนว่าเส้นทางใหม่ที่เลือกเองก็ได้นำประสบการณ์ใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต ให้เขาได้เรียนรู้ และทำในสิ่งที่ต้องการในฐานะศิลปิน

“ด้วยความที่พี่ๆ เขาเป็นคนดนตรีจริงๆ อย่างพี่แทนก็เป็นนักแต่งเพลงที่เก่งมากๆ แต่งเพลงให้พี่อิ้งค์ วรันธร พี่บิวกิ้น ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากเขาในเรื่องของการเขียนเพลง โดยที่เขาไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนตัวตนของผม แต่จะลับผมให้คมขึ้นในแนวทางที่เป็น ซึ่งมันดีมาก ก่อนเข้าค่ายผมกลัวว่าจะมีการบังคับให้ต้องทำเพลงแนวโน้นแนวนี้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ เขาแค่หาสิ่งที่เป็นตัวเรามากที่สุด อาจจะมีดูเรื่องโซเชียลมีเดียบ้าง อย่างเช่นดู TikTok ว่าจะทำยังไงให้เหมาะสมกับตัวเรา แนะนำแนวทางที่จะดันเราให้ไปได้ไกล ประมาณนี้ครับ”

“อีกอย่างคือพี่ๆ ก็ค่อนข้างที่จะหัวสมัยใหม่อย่างมากเลยครับ อย่างเพลง ‘Lost Jigsaw’ ถ้าพี่เขาจะไม่ให้ปล่อยเพราะว่าเพลงไม่ตรงตามยุคสมัย เขาก็สามารถทำได้ เพราะเป็นค่าย แต่เขาเลือกที่จะเชื่อเราว่าเพลงนี้มันมีอะไรบางอย่าง และสุดท้ายมันก็เวิร์กจริงๆ ครับ พี่เขาให้โอกาสผมในการตัดสินใจเสมอ ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร”

ผลงานน่าติดตาม กับ Single ใหม่ ‘คนที่คุณอาจรู้จัก’

“ตอนนี้ยังไม่มีแพลนชัดเจน แต่ก็ขอฝากซิงเกิ้ลล่าสุด คือเพลง ‘คนที่คุณอาจรู้จัก’ เพลงนี้ Featuring กับพี่แสตมป์ครับ เป็นเพลงเกี่ยวกับคนรักที่กลายเป็นคนไม่รู้จัก เป็นคนแปลกหน้ากันไปแล้ว กับมีเพลงที่คิดว่าน่าจะได้ Featuring กับพี่ๆ ลิปตา ในเร็วๆ นี้ครับ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยครับ

ติดตามผลงานของ Guncharlie ต่อได้ที่

YouTube: Kicks Records

Facebook: Guncharlie

Instagram: guncharlieee

Twitter: @guncharlieee

ขอขอบคุณ

Bonci Sukhumvit

199 ซอยสุขุมวิท 49/11, แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110 (Google Map)

เปิดทำการทุกวัน (ยกเว้นวันพุธ) ตั้งแต่เวลา 10.00 - 18.00 น.