
ประวัติศาสตร์ของกัญชาผ่านเสียงเพลงได้เริ่มจากท่วงทำนองแจ๊สในทศวรรษที่ 20 บรรเลงเพลงผ่านช่วงยุคสมัยการแบ่งแยกสีผิว ดนตรีแจ๊สเละกัญชาเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้คนดำได้มีโอกาสเข้าร่วมกระแสดนตรีร่วมสมัยมาจนถึงปัจจุบัน กัญชาถูกส่งผ่านเสียงดนตรีก่อนที่จะกลายเป็นการส่งผ่าน Joint ในปัจจุบัน
ถนนโลกีย์ ซ่องโสเภณี และดนตรีของคนดำ
ในช่วงก่อนต้นทศวรรษ 1920 ในย่าน Storyville รัฐ New Orleans ประเทศสหรัฐเมริกา มีชื่อเสียงด้านการเป็นถนนโลกีย์จากทำเลติดท่าเรือ เป็นแหล่งร่วมตัวของกะลาสีเรือ แก๊งและมาเฟียหลากหลายเชื้อชาติ มีการค้าขายประเวณีอย่างถูกกฎหมาย มีโรงขายเหล้าและซ่องโสเภณีที่มักจะมีดนตรีแจ๊สสดเล่นอยู่เสมอ
การเป็นนักดนตรีชาวแอฟริกัน/อเมริกันผิวดำภายใต้กฎหมายแบ่งแยกแต่เท่าเทียม (Segregation) ในตอนนั้นไม่ได้ง่ายเลย เพราะมักจะมีการกดขี่ในเรื่องของเสรีภาพภายใต้อำนาจของคนขาวทั้งทางสังคมและโอกาสทางธุรกิจอยู่เสมอ

แต่บนถนนโลกีย์บันเทิงของ Storyville ก็เป็นพื้นที่แรกที่ยอมให้นักดนตรีผิวดำได้มีโอกาสแสดงฝีมือเล่นดนตรีอย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะเป็นภายในซ่องหรือในโรงเหล้าก็ตาม
ภายในบาร์ที่อบอวลไปด้วยกลุ่มควัน ท่วงทำนองจังหวะผ่านเปียโน ทรัมเป็ต เบสและกลอง เป็นต้นสายธารกำเนิดของเพลงแนวแจ๊ส แต่หารู้ไม่ว่าความบันเทิงในซ่องโสเภณีและบาร์เหล้ายามราตรีร่ำร้องผ่านควัญกัญชา มิใช่การเล่นดนตรีกินเหล้าเผาหัวและกินเหล้าทั้งคืน
เมื่อย่างเข้าสู่ยุคแห่งการห้ามดื่มสุรา (Prohibition Era) ผู้คนเริ่มมองหาที่นัดพบใหม่ เหล่าบาร์ลับ Speakeasy ที่ลักลอบขายเหล้าและบาร์สูบกัญชา Tea pads ก็แห่เปิดทั่วมุมเมือง เหล่ามาเฟียกลั่นเหล้าเถื่อนเย้ยกฎหมาย ดนตรีแจ๊สได้เริ่มค่อยๆ เข้าสู่คลื่นวิทยุและกระจายเสียงเข้าไปสู่เมืองใหญ่อย่าง Chicago และ New York City
กัญชาและอิมโพรไวเซชั่น หัวใจสำคัญของดนตรีคนดำ
กัญชานั้นขึ้นชื่อในเรื่องของฤทธิ์ที่ทำให้การรับรู้ของเวลาช้าลง ส่งผลให้นักดนตรีกล้าทดลองเล่นกับท่วงทำนองอย่างสร้างสรรค์ มีส่วนสำคัญในการผลักดันดนตรีแจ๊สให้มีความลื่นไหลและจังหวะการเต้นที่เร้าใจ นับว่าเป็นเสน่ห์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับดนตรีแจ๊ส
เมื่อเวลาพลันช้าลง ทุกสิ่งรอบตัวก็ดูเด่นชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียง สีหรือรสชาติ กัญชาได้กลายเป็นพลังลับที่ช่วยเหล่านักดนตรีเล่นในยามราตรีจนรุ่งสางได้โดยไม่มีอาการแฮงค์ แถมยังเคลิบเคลิ้มไปทุกตัวโน้ตคีย์ที่ขยี้ตามจังหวะ

กัญชานั้นใช้กันอย่างแพร่หลายในขนกลุ่มน้อยอย่างชาวเม็กซิกันและคนดำ ที่ส่วนใหญ่จะเป็นแรงงานหลักในไร่ฝ้ายและเหมืองแร่ หลายคนก็มักจะสูบกัญชาเพื่อผ่อนคลายจากการทำงานทั้งวัน
เพราะราคากัญชาที่แสนถูก รวมไปถึงกฎห้ามสุราทำให้เหล้าหาซื้อได้ยากและมีราคาแพง และความเสี่ยงจากการกลั่นสุราต้มกินเอง หลายคนได้ยินถึงอาการป่วยและการตายด้วยด้วยน้ำเมาจากคนรอบข้างอยู่เสมอ แม้กระทั่งหลังหมดยุค Prohibition แล้วเหล้าสุรากลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง นักดนตรีแจ๊สส่วนมากก็ยังเลือกที่จะสูบกัญชาแทนการดื่มเหล้าและสามารถบรรเลงเพลงตลอดทั้งคืนได้โดยไม่เมาตกเวทีเสียก่อน
King of the Vipers
แม้กระทั่ง Louis Armstrong หนึ่งในศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการดนตรีแจ๊สก็เป็นหนึ่งในคนรักกัญชาอย่างเปิดเผย เขาเริ่มสูบในวัยยี่สิบต้นๆ หลังจากที่เริ่มเล่นคอร์เน็ตเพื่อหาเงิน เพื่อนในวงก็ยื่นกัญชาให้เขาลองสูบ ‘Gage’ - ชื่อเรียกกัญชาในกลุ่มนักดนตรี - เพื่อช่วยดับอาการประหม่าก่อนขึ้นโชว์
เขาติดใจในรสเคลิ้มเมาโดยพลันและมักจะสูบก่อนขึ้นเล่นหรือช่วงเข้าห้องอัดเสียงมาเสมอ จนได้สมญานาม King of Vipers โดยคำว่า ‘Vipers’ ใช้เรียกเสียงเวลาลากกัญชาสูบไม่ต่างจากเสียงฟ่อของงูพิษ

Louis Armstrong รักและชื่นชอบกัญชามากถึงกับอัดเพลงบรรเลงแจ๊ส “Muggles” ในปี 1928 ซึ่งมาจากคำว่า Muggle cigarettes หรือบุหรี่กัญชา (ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ฮอกวอตส์แต่อย่างใด) และยังเป็นหนึ่งในเพลงแรกๆ ที่นำคำสแลงกัญชามาร้องเล่นอีกด้วย
นับว่าเป็นหนึ่งในศิลปินสายเขียวที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก เขาได้ทัวร์เล่นดนตรีทั่วทวีปอเมริกา ยุโรปและเอเชีย เขามีส่วนพาดนตรีแจ๊สให้เข้าสู่ดนตรีในกระแสหลัก ไม่ใช่แค่เพียงดนตรีของคนดำหรือทาสอีกต่อไป และแน่นอนว่าเขาต้องมีกัญชาพกไว้สูบทุกวัน
ขนาดในช่วงปี 1934 เขาบินไปทำอัลบั้ม Paris Session ที่ประเทศฝรั่งเศสก็ไม่วายที่จะอัดเพลงทิ้งท้าย “Song of the Vipers” เพลงสรรเสริญเหล่าเพื่อนนักพี้กัญชา… แต่เพลงแทร็กนี้ได้กลายเป็นเพลงลับในอัลบั้มโดยปริยาย เพราะสถานีวิทยุในอเมริกาเลือกที่จะไม่เล่น อาจเพราะรู้ความหมายของชื่อแล้วก็เป็นได้
นักดนตรีแจ๊สในตำนานอย่าง Cab Calloway ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่เปิดเผยในการใช้กัญชาเช่นเดียวกัน และไม่วายที่จะต้องร่ำร้องเพลงถึงรสรักของดอกกัญชาผ่านเพลง “Reefer Man” ในหนังตลก International House ปี 1933
นับเป็นเพลงแรกที่ร้องถึงคนขายกัญชาบนจอเงิน โดยแทนคำว่ากัญชาด้วย ‘Reefer’ - ผ้าใบเรือที่ม้วน - ความคล้ายคลึงของผ้าใบเรือที่ม้วนและโรลกัญชาอย่างไรอย่างนั้น
กัญชาได้เป็นแรงบันดาลใจกับศิลปินหลายคนในช่วงปี 40s - 50s มีการออกเพลงเกี่ยวกับกัญชาผ่านคำสแลงมากมาย จนค่ายเพลง Stash Records ได้ออก L.P. ในนาม ‘Reefer Songs’ ที่รวมกว่า 16 เพลงแจ๊สที่ร่ำร้องและบรรเลงถึงความรื่นเริงของพืชกัญชา
ไม่ว่าจะเป็นเพลงดังคุ้นหูอย่าง “If You’re a Viper” ของ Stuff & His Onyx Club Boys, “Jack I’m Mellow” ของ Trixie Smith, “All the Jive is Gone” ของ Andy Kirk
ทำนองเพลงเริงระบำ กัญชาและปีศาจซาตาน
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นดีเห็นชอบกับเสียงดนตรีและกลิ่นกัญชาของชนชั้นทาส รัฐบาลและนักการเมืองหัวรุนแรงต่างพยายามหาวิธีหยุดอิทธิพลและการเรียกร้องสิทธิของคนผิวดำ ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1930 ภายใต้การทำงานของ Harry Anslinger อธิบดีปราบปรามยาเสพติดที่ทุกคนรู้ดีว่าเขานั้นเหยียดเชื้อชาติเป็นอย่างมากและต้องการปรับเปลี่ยนกฎหมายเพื่อลดการพบปะระหว่างคนขาวและคนดำ

เขาต่อต้านวัฒนธรรมของกัญชาและทุกอย่างที่เกี่ยวกับมัน เพราะมันขัดแย้งกับความเชื่อในสังคมในอุดมคติของคนผิวขาวที่มองว่าตัวเองเป็นชาติพันธุ์ที่สูงส่ง
หลังจากการประกาศ Marijuana Tax Act ขึ้นในปี 1937 ซึ่งถูกใช้เพื่อควบคุมการจ่ายกัญชา แต่มันก็ยังเป็นจุดชนวนของการผลักกัญชาเข้าร่วมยาเสพติดประเภท 1 อย่างเฮโรอีน อีกทั้งเป็นการปิดผนึกการค้นคว้าวิจัยประโยชน์ของกัญชาไปอีก 60 ปีข้างหน้า
“กัญชาทำให้พวกมัน (คนดำ) คิดว่าตัวเองดีเท่ากับคนขาว”
- Harry Anslinger
เขาได้กลายเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำให้กัญชาเป็นสิ่งชั่วร้ายด้วยการผูกโยงอาชญากรรมเข้ากับชนกลุ่มน้อย รวมไปถึงมีการสร้างหนังโฆษณาชวนเชื่ออย่าง “Reefer Madness” สร้างข่าวคลุ้มคลั่งจากกัญชารายวันและออกรายชื่อเฝ้าจับตานักดนตรีแจ๊สและสวิงอีกด้วย
เขาเกลียดดนตรีแจ๊ส (เนื่องจากขัดกับหลักศาสนาคริสต์) และเสียงเพลงล่อลวงจากปีศาจที่นำพาให้ผู้หญิงผิวขาวไปเต้นรำและร่วมรักผ่านเสียงเพลงที่น่ารังเกียจของชาวแอฟริกันชั้นต่ำ
เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของรัฐบาลที่จะควบคุมเหล่าชนกลุ่มน้อยให้อยู่มือและหยุดยั้งไม่ให้กัญชาเข้ามาสู่สังคมคนผิวขาว แต่หารู้ไม่ว่าบุหรี่กัญชาอันจิ๋วได้ถูกพกติดตัวนักดนตรีแจ๊สและผู้รักเสียงเพลงสวิงไปทั่วอเมริกาเสียแล้ว
กลุ่มนักดนตรีแจ๊สจาก New Orleans ก็ยังมีโอกาสได้ย้ายถิ่นกระจายบีทแจ๊สอยู่เรื่อย ๆ การเดินทางของนักดนตรีผิวดำได้เริ่มกระจายตัวไปทั่วประเทศอเมริกาตลอดช่วงทศวรรษ 1940-1950
โดยจะมีความคึกคักเป็นพิเศษโดยเฉพาะใน New York ย่าน Harlem
Muggle King และเหล่ากวี Beatniks
กลุ่มนักดนตรีผิวดำรวมตัวบรรเลงเสียงเพลงในอพาร์ตเมนต์ห้องเช่าหรือห้องโถงใต้ดินในย่าน Harlem ทุกค่ำคืนของวันเสาร์
เสียงดนตรีที่ได้ดึงดูดกลุ่มนักเรียนผิวขาวชนชั้นสูงและคนดำให้มาร่วมเต้นรำและสังสรรค์ พูดคุยเปิดประเด็นถึงการเมือง ระบบทุกนิยม รักร่วมเพศ และสังคมปิตาธิปไตย
ปรากฏการณ์นี้เรียกกลุ่มวัยรุ่นเหล่านั้นว่า Beatniks หรือ Beat Generations กลุ่มหนุ่มสาวนักเขียนและนักกวีที่สนใจในเรื่องโลก ความรักและเพศอย่างเปิดเผย งานวรรณกรรมของพวกเขาแหกและฉีกขนบธรรมเนียมด้วยการเปิดเผยความรู้สึกและเลือกใช้ศัพท์ภาษาที่อาจหยาบโลนและหยาบคาย

เหล่านักเขียนนักกวีก็เริ่มนำศัพท์สแลงกัญชาอย่าง Tea, Muta, Roach, Jive, Weed, Reefer, Gage เหล่านี้มาเขียนใส่ในวรรณกรรมหนังสือ “On the Road” (1957) โดย Jack Kerouac ที่เป็นดั่งคำภีร์ไบเบิลของชาว Beatniks
กบฎชาวบีทนั้นเป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมคนขาวกับคนดำเข้าด้วยกัน ผ่านความชื่นชอบในเสียงดนตรีที่ต้องดีดนิ้วกระดิกเท้าตาม ความเร่าร้อนของการเต้นรำ และการส่งผ่าน Joint กัญชาพัลวัน
ในตอนนั้น Mezz Mezzrow คนยิวผิวขาวจาก Chicago ได้เดินทางมาเล่นคลาริเน็ตในย่าน Harlem เขาไม่ได้ถูกจดจำในนามศิลปินแจ๊สผู้เก่งกาจ แต่กลับเป็นเพราะชื่อเสียงในการขายกัญชาที่คุณภาพดีที่สุดในเวลานั้น (ว่ากันว่าเพราะเขามีคอนเนคชั่นร่วมกับนักปลูกชาวเม็กซิกัน)

เขากลายเป็นผู้ค้ารายใหญ่ให้กับนักดนตรีทั่ว New York และไม่ลืมที่จะเรียกมันว่า Mighty Mezz เพื่อให้ทุกคนได้รู้ถึงชื่อเสียงของมัน และแน่นอนว่ากัญชาของ Mezz นั้นดีมากจนเพลงแจ๊สเริ่มร้องถึงชื่อของเขาแทนสแลงกัญชาเกรดสูงเลยทีเดียว
Mezz Marrow มีอิทธิพลต่อกลุ่ม Beatniks มากเพราะเขาถือว่าตัวเองเป็นคนผิวดำผ่านเสียงดนตรีและสามารถสอนให้กลุ่มคนขาวเข้าใจถึงความฉับไวของแจ๊สและจังหวะชีวิต เข้าใจว่าการ hip มันเป็นยังไง และไม่ลืมว่าทุกครั้งที่เมากัญชาก็คอยตั้งคำถามถึงชีวิตอยู่เสมอ
ไม่นานหลังจากนั้นกัญชาก็ได้ค่อยๆ ขยับเข้าสู่กลุ่มคนขาวพร้อมกับอิทธิพลของความคิดอย่างอิสระของ Beatniks ที่กล้าตั้งคำถามกับรัฐบาล และกล้าที่จะฉีกกรอบการแบ่งแยกสีผิวและเพศ ซึ่งได้ส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของกลุ่มฮิปปี้ต่อมา
การกระจายตัวครั้งนี้ได้ส่งผลให้กัญชากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มตัวในทศวรรษ 1960 วัฒนธรรมฮิปปี้ได้ทำให้กัญชาเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้น คนขาวรุ่นใหม่หลายคนเริ่มสูบกัญชา นักดนตรีผิวขาวเริ่มร่ำร้องถึงความเคลิ้มเมาของมัน รวมไปถึงการส่งเสียงเรียกร้องหาสิทธิของการเลือกใช้กัญชาอย่างถูกกฎหมายก็เข้าสู่เวทีระดับประเทศนำโดย Allen Ginsberg นักกวีและผู้เรียกร้องเสรีกัญชาแรกที่สร้างกระแส Legalization และผลักดันร่างกฎหมายเข้าสู่สภา

ดนตรีแจ๊สคงเป็นจุดเริ่มต้นของการ ‘ส่งผ่าน Joint’ จากวัฒนธรรมหนึ่งสู่อีกวัฒนธรรมหนึ่งในโลกใต้ดินกับช่วงเวลาเกือบศตวรรษ รวมไปถึงดนตรีแนวเร้กเก้และฮิปฮอปที่มีส่วนในการคงความนิยมกัญชาในกระแสเพลงร่วมสมัย
และคงปฎิเสธไม่ได้ว่าการสูบกัญชานั้นมีส่วนทำให้จิตใต้สำนึกคิดเปิดกว้างมากขึ้น มีโอกาสเพิ่มในการมองเห็นสิ่งและได้ยินเสียงต่างๆ แต่อย่าลืมว่ามันก็อยู่บนพื้นฐานความรู้และความสามารถของเราเช่นเดียวกัน
เปิดประสบการณ์ High ในสไตล์ฮอลลีวูด
ในเวลานี้กัญชาได้กลับไปเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของใครหลายๆ โดยไม่ต้องกลัวการจับกุมอีกต่อไป รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับเสรีภาพมากขึ้นในการเลือกใช้ยาทั่วโลก แต่อย่าลืมว่าในอดีตกัญชากลับถูกใช้เป็นอาวุธในการจับกุมชนกลุ่มน้อยที่ยังคงสร้างผลกระทบถึงอัตราการจับกุมในปัจจุบันทั่วโลก ทั้งที่ประโยชน์ของมันก็เห็นได้ชัดกับบทวิจัยและการค้นพบใหม่ๆ
หากมองถึงเสรีกัญชาที่จะเกิดขึ้นในไทยได้ก็คงขึ้นอยู่กับเราทุกคนที่จะต้องช่วยรับ Joint และส่งต่อมันไปอีกรุ่นหนึ่งไม่ว่าจะผ่านเสียงดนตรี ศิลปะหรือตัวอักษร
ถ้ากัญชาที่สามารถสร้างความสุขหลังทำงานและทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ก็อย่ากลัวที่จะออกมาเรียกร้องสิทธิในการใช้ของเรา เพราะสุดท้ายแล้วบางทีชีวิตคนเราอาจจะต้องการแค่เพลงแจ๊สดีๆ กับ Reefer สักตัวแค่นั้นเอง...
อ้างอิง:
- Marijuana and Music: A Speculative Exploration by Peter Webster (2001)
- Reefer Madness: The History of Marijuana in America by Larry "Ratso" Sloman (1979)
- Really the Blues by Bernard Wolfe (1946)