
ก่อนหน้านี้ทาง EQ ได้เคยรายงานถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรุ่นใหม่บนเกาะพะงันในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ พยายามพลิกฟื้นคืนชีวิตให้แก่ธุรกิจต่างๆ ที่กำลังหายใจอย่างรวยรินแทบจะล้มหายตายไปจากเกาะ โดยเฉพาะหาดริ้น สถานที่จัดฟูลมูนปาร์ตี้ที่เคยเป็นดั่งเส้นเลือดใหญ่ลำเลียงและกระจายเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวให้ไหลสะพัดไปทั่วเกาะ ผู้ประกอบกิจการที่เหลืออยู่แต่ละรายต่างก็ใช้ความพยายามในแบบของตนเอง ปรับกลยุทธ์ ดึงให้นักท่องเที่ยวกลับเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหากลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหม่เพื่อนำเสนอการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน โดยนำเสนอการสร้างจิตสำนึกและให้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือจัดกิจกรรมแนวเอ้าท์ดอร์เพื่อเอาใจนักท่องเที่ยวที่มากันทั้งครอบครัว รวมทั้งความพยายามที่จะดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวขาประจำจากฟูลมูนปาร์ตี้ในบรรยากาศก่อนโควิด

แต่ในเดือนที่เวลาจะหยุดอยู่ที่ 4:20 สำหรับสายเขียวทั่วโลกนั้น เราจะพาคุณไปพบกับบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่เป็นดั่งหัวหอกในการทำให้กัญชาได้รับการยอมรับในฐานะพืชสมุนไพรที่ใช้เพื่อการรักษาโรค วันนี้เขาก็ได้ขยับเจตนารมณ์ขึ้นไปอีกขั้นกับการนำร่องกัญชาเพื่อการสันทนาการ ส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยใช้เกาะพะงันเป็นหนึ่งในโมเดลของประเทศ
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสุดๆ เพราะนี่จะเป็นการพลิกโฉมเศรษฐกิจไทย โดยใช้กัญชาเป็นตัวเปิดเกมใหม่ และเจ้าของอุดมการณ์อันดุเดือดเลือดพล่านนี้คือ คุณสนธยา แซ่โย้ หรือ “พี่หลวง” ของน้องๆ สายเขียวชาวเกาะพะงัน อดีตเจ้าอาวาสวัดโฉลกหลำ ผู้เคยแอนตี้กัญชาขั้นสุดด้วยความที่เข้าใจว่าเป็นยาเสพติดให้โทษเพียงอย่างเดียว แต่ ณ ปัจจุบันเป็นหมอยา ทำน้ำมันกัญชาแจกฟรีแก่ผู้ป่วยที่เป็นโรครักษาไม่หายหรือขาดแคลนทุนทรัพย์ในการรักษา โดยมีโครงการชื่อ ‘กองทุนแบ่งปันเพื่อผู้ป่วยรักษาฟรี เกาะพะงัน’ มีจุดประสงค์เพื่อการแบ่งปันน้ำใจให้กันและกัน
พี่หลวงเปิดเผยว่า “ก๋งผมคือเคดี เคที หรือโกดำ เขาอยู่ในแวดวงกัญชามานาน ปัจจุบันเป็นหมอยาให้ความรู้ผู้ป่วย ผมเคยโทรหาแกเพราะอยากไปเที่ยวเกาะเต่าแต่ไม่ได้ไปสักทีเพราะติดภารกิจหลายอย่าง แล้วเวลาว่างก็ไม่ตรงกับเพื่อนๆ แกโทรมาครั้งที่ 4 จนผมเกรงใจในฐานะผู้น้อย เลยชักชวนเพื่อนสนิทคือคุณเขียวจาก Rasta Home และคุณโต้งจาก 360 องศาไปด้วยกัน พอผมได้ไปเที่ยวหาโกดำที่เกาะเต่า พบผู้ป่วยรายแรกของแกเข้า ผมเปลี่ยนความคิดไปเลย

แกมาคอยอยู่หน้าบ้านโดยมีถุงใส่ปัสสาวะห้อยออกมาในขณะที่โกดำกำลังสอนอยู่ในห้อง ตัวแกเป็นคนเก็บขยะขายที่เกาะเต่า เมียแกเป็นมะเร็งตายไปเมื่อปีกลาย ตัวแกเองก็เป็นมะเร็ง น่ากลัวจะเป็นเพราะสารเคมีที่อยู่ในขยะนั่นแหละ แกเดินทางมาขอน้ำมันกัญชาเพื่อไปรักษาตัว แต่ไม่กล้าเข้าไปในบ้าน อาจจะเป็นเพราะอาย วันนั้นก๋งผมให้น้ำมันกัญชาแกไปสองขวด มันทำให้ผมตื้นตันขึ้นมา ลองคิดดูว่าค่ารักษามะเร็งเป็นแสนๆ คนจนที่ไหนจะมีปัญญาเอาเงินไปรักษา นี่จึงเป็นความหวังเดียวของพวกเขาที่มี ผมนับว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่สามารถเปลี่ยนมุมมองความคิดได้อย่างรวดเร็วหากมีเหตุการณ์ที่ชัดเจนแบบนี้เกิดขึ้น มันทำให้ผมหยุดคิด และมองเห็นตัวเองว่าเรากำลังมองกัญชาเพียงด้านเดียวอยู่นะ คุณลุงคนนั้นเปิดโลกอีกด้านของมันให้เห็น และมันก็ได้เปลี่ยนความคิดของผมไปตลอดกาล”

“หลังจากที่กลับมาพะงัน พวกผมทั้งสามคนก็มานั่งหารือกันว่าเราอยากจะจัดงาน ๗ กัญ.ยา.ยัน ขึ้นที่เกาะพะงัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของที่มาของโครงการกองทุนแบ่งปันเพื่อผู้ป่วยรักษาฟรี เริ่มมาจากจุดที่เราคุยกันตรงนี้เลยครับ ชาวสวนคาเฟ่ เมื่อปี 2562 นี้เอง โดยผมและผองเพื่อนชาวพะงันทำหน้าที่บุกเบิกริเริ่ม”


นับว่าเป็นเวลาที่รวดเร็วมาก เพราะเท่าที่รู้คือ พี่หลวงมีคนไข้ที่เข้ามารับการรักษาเป็นหลักหมื่นแล้วจากวันนั้นถึงวันนี้ นอกเหนือไปจากการปรุงยาและวินิจฉัยโรคและให้การรักษาเพียงเท่านั้น พี่หลวงยังมีหน้าที่ในฐานะผู้ให้คำแนะนำ
“ทุกวันจะมีผู้ป่วยโทรมาระบายเล่าอาการป่วยหรือปัญหาที่บ้านให้ฟัง หรือวันนี้ไปโรงพยาบาลหมอให้ยาอะไร คือเราคอยให้กำลังใจเขาไง ผู้ป่วยหลายคนเขาโดดเดี่ยวมากนะ โดยเฉพาะผู้ป่วยมะเร็ง เขาคิดแค่อย่างเดียวว่าความตายกำลังเดินทางมาถึงเขา เราอยู่ตรงนี้ เป็นกำลังใจ ปันน้ำใจให้เขา นั่นคือที่มาของโครงการแบ่งปันเพื่อผู้ป่วยรักษาฟรี จะเป็นอะไรก็ได้ที่คุณมี ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันมะพร้าว เงินช่วยค่าขนส่ง เพื่อต่อยอดเป็นกองทุนไว้ให้ผู้ป่วยรายอื่นๆ ที่เขาไม่มี”

“ผมใช้บริการขนส่งของ Flash Express อยู่ปีกว่าๆ ก็มีเจ้าหน้าที่เข้าไปดูในเพจเรา มาสอบถามว่าเราคิดค่าใช้จ่ายคนไข้ยังไง พอผมอธิบายไปว่าไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับพวกเขา แม้แต่ค่าขนส่งผมก็จ่ายเอง พอฟังแล้วเขาเกิดความรู้สึกเห็นใจและอยากช่วยลดภาระให้เรา ปกติแล้วค่าส่งชิ้นนึงมันราคา 25 บาท แต่เขาให้ผมจ่ายเพียง 12 บาทเท่านั้น ซึ่งมันลดภาระผมไปได้เยอะเลย นี่แหละคือปณิธานของโครงการของผม เราทำให้การทำดีมันเป็นเรื่องปกติ คติของผมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือเมตตาธรรมค้ำจุนโลก”

เราสงสัยว่าในระยะเวลาไม่ถึง 3 ปีที่ผ่านมา พี่หลวงเอาเวลาจากที่ไหนมาศึกษาตำรับตำราปรุงยาจนสามารถรักษาผู้คนได้มากมายขนาดนี้ ไม่เสียแรงที่เคยเป็นถึงเจ้าอาวาสมาก่อน พี่หลวงตอบกลับมาว่า “ที่ได้เรียนจริงๆ มีวันเดียวคือตอนที่โกดำบรรยายในงาน ๗ กัญ.ยา.ยัน แม้จะต้องวิ่งวุ่นทำงานไปด้วยแต่ก็พยายามตั้งใจฟังอย่างมากและจำได้ทุกอย่างที่แกบรรยาย หลังจากนั้นก็อาศัยวิธีครูพักลักจำและทดลองกับตัวเอง โดยการลองสูบมันเข้าไปทีละนิดแล้วหลับตา ค่อยๆ เข้าสู่การหยั่งรู้ภายในดูว่าสมุนไพรแต่ละสายพันธุ์เขามีฤทธิ์ในการรักษาแตกต่างกันอย่างไร โดยการสำรวจประสาทและอวัยวะแต่ละส่วนของเราว่ามีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง แล้วผมก็จดบันทึกมันไว้ เวลารักษาผู้ป่วยผมก็จะใช้ข้อมูลนี้แหละมารักษา และมีรายละเอียดการให้ยาผู้ป่วย ปริมาณการใช้ยา ข้อบ่งใช้ในผู้ป่วยแต่ละครั้งเสมอ แม้แต่อาหารการกินก็ต้องบันทึกไว้ เพราะเราไม่ได้ใช้วิธีเปิดตำรา แต่ใช้จากคนจริงๆ เลย โรคที่คนกลัวกันนักหนาอย่างมะเร็งนี่สำหรับผมถือเป็นของง่ายเลย ผมรักษาหายราว 80% สำหรับพวกที่ไม่หายคือมาแบบอวัยวะภายในเสียแทบหมดแล้ว หรือไม่ก็ไม่ยอมทำตามคำแนะนำ”

“ผมเริ่มรักษาแต่ยังไม่ได้ทำยาเอง ก็ยังลองผิดลองถูกอยู่เยอะครับช่วงแรก ใครไม่หายเราก็ต้องมาประมวลกันใหม่อีกว่าเพราะอะไร ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปจนเริ่มมาทำยาเอง ผมเริ่มค้นพบว่าการตุ๋นยามันไม่ต่างกับการทำต้มจับฉ่าย ยิ่งเคี่ยวนานมันยิ่งอร่อย แทนที่ผมจะตุ๋นทีละครั้งเหมือนหมอยาท่านอื่น ผมเปลี่ยนมาใช้หม้อไอน้ำควบแน่นแล้วคอยเติมตัวยาไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้ตัวยาที่เข้มข้นแล้ว ยังทำให้ผมให้บริการคนไข้ในจำนวนมากๆ ได้ ซึ่งหม้อนี้ผมเติมมาสองปีแล้ว มันมีส่วนสำคัญมากในการช่วยให้ผู้คนมากมายหายจากโรคที่รักษาไม่หายและสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วย อย่างเช่นโรคสะเก็ดเงิน เป็นเคสที่ผมได้มีโอกาสรักษาจนหายเยอะมาก พวกโรคที่มีสาเหตุเกิดมาจากเลือดเป็นพิษนี่ ผมถนัดเลย”

ก็ไม่แน่ชัดว่าทำไมที่เกาะพะงัน จะมีกลุ่มของคนที่เรียกตัวเองว่า หมอผี นักปรุงยา หรือที่เรียกกันว่า Shaman เดินทางมาพำนักอยู่ที่นี่ หลังจากที่ผู้เขียนได้สัมผัสหมอผีที่เดินทางมาจากหลากหลายประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะด้วยเพราะสาเหตุอะไร วันนี้ฉันได้รู้แล้วว่าชาแมนตัวจริงของเกาะพะงัน คือพี่หลวง อดีตเจ้าอาวาสวัดโฉลกหลำนี่เอง แต่พี่หลวงก็ทำเงียบๆ ของแกเป็นปกติโดยไม่เคยป่าวประกาศโฆษณาตัวเอง

“ผมทำมันไปโดยที่ไม่ได้รู้ตัวว่ามีคนให้ความสนใจเราอยู่นะ แม้แต่นักวิชาการระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยยังติดต่อมาขอข้อมูลเพื่อทำวิจัย พอผมถามว่าไปได้เบอร์ผมมาจากไหน แกบอกว่าไปได้เบอร์มาจาก ป.ป.ส. ผมนี่อึ้งเลย เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนดังระดับมีชื่อบนบอร์ด ป.ป.ส. ก็วันนั้นเอง” พี่หลวงพูดจบก็ทำเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นฮากันครืน
แล้วความมุ่งมั่นนี้มันจะมีที่ไปต่ออย่างไรนะ เราสงสัย จึงถามพี่หลวงถึงอนาคตของวงการกัญชาที่เกาะพะงันว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน คำตอบของพี่หลวงทั้งน่าทึ่งและน่าตื่นเต้นเอามากๆ

“ตอนนี้เรากำลังเริ่มเขยิบไปที่การทำให้เกาะพะงันเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของภาคใต้ นำร่องกัญชาเพื่อสันทนาการ โดยทางฝั่งอันดามันจังหวัดกระบี่รับหน้าที่นี้ ส่วนทางอ่าวไทยก็จะเป็นเกาะพะงัน ซึ่งถ้าพูดถึงความพร้อมก็บอกได้เลยว่าเรามีเครือข่ายเคดีที่เป็นปึกแผ่นมากทั้งในภาคใต้และทั่วประเทศ รวมทั้งชื่อเสียงของฟูลมูนปาร์ตี้ที่คนทั่วโลกต่างก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว จากที่เมื่อก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาเกาะพะงันจะใช้เวลาเพียงคืนสองคืนเพื่อมาปาร์ตี้ แล้วก็นั่งเรือกลับ ความคิดของผมคือหลังคืนฟูลมูนปาร์ตี้อยากให้มีกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อให้นักท่องเที่ยวอยู่ต่อ โดยอาจจะเว้นระยะเวลาให้เขาได้พักฟื้นสัก 2-3 วันค่อยจัดงานกัญชาขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่าภายในงานเราจะอนุญาตให้สูบกันได้อย่างเสรี รวมถึงมีกิจกรรมที่ให้ทั้งความรู้และความบันเทิงเต็มรูปแบบ นี่แหละที่ผมเชื่อว่า กัญชาไม่ได้มีฤทธิ์เพียงรักษาโรค แต่ยังสามารถนำมาใช้เป็นพืชเศรษฐกิจที่ช่วยพลิกฟื้นความวิกฤตที่กำลังเกิด ณ ตอนนี้ได้”

“หากเพียงรัฐบาลคิดได้โดยจดทะเบียนให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจและสนับสนุนให้ปลูกกันทุกบ้าน เพราะเรามีภูมิประเทศที่เหมาะสมอยู่แล้ว เนื่องจากเรามีแดด ในขณะที่คนอื่นยังต้องซื้อแดดใช้อยู่เลย คุณคิดว่าต้นทุนที่แตกต่างขนาดนี้มันทำให้เราได้เปรียบขนาดไหน เพราะในเมื่อต้นทุนเราถูก เราก็ขายถูกกว่าคนอื่นได้ ถ้าทุกบ้านปลูกเองใช้เอง ที่เหลือส่งออก สนับสนุนให้กัญชาไทยโด่งดังไปทั่วโลก นี่แหละจะเป็นวิธีที่ทำให้เศรษฐกิจบ้านเรามันได้รับการเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่สั้นมาก”

พี่หลวงยังเล่าไปถึงความสำเร็จอีกหนึ่งเรื่องของชุมชนในการผลักดันให้ใช้กัญชาเป็นยารักษาโรคอย่างจริงจังในโรงพยาบาล โดยเกิดจากการรวมตัวกันของวิสาหกิจชุมชนถึง 5 แห่งที่ก่อเกิดเป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรไทยเกาะพะงัน ได้ร่วมกันสร้างโรงเรือนปลูกกัญชาอยู่ด้านหลังโรงพยาบาลเกาะพะงันซึ่งปัจจุบันสำเร็จเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมลงมือปลูก อีกไม่นานเราจะได้เห็นกัญชาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการแพทย์สมัยใหม่และได้ใช้กับผู้ป่วยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในยุคของเรานี่แหละ




ฟังพี่หลวงพูดแล้วรู้สึกเกิดกำลังใจมากๆ ขึ้นมาทันที ใครจะไปคิดว่าแต่ละเรื่องที่พี่หลวงและพรรคพวกมุ่งมั่นทำจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ซึ่งยิ่งทำให้อยากเห็นโครงการนำร่องกัญชาเพื่อสันทนาการเกิดขึ้นให้ได้ เพราะพี่หลวงบอกว่าหากเริ่มต้นตรงนี้สำเร็จ มันจะถูกใช้เป็นต้นแบบทั่วประเทศเลยนะ ลองคิดภาพดูสิว่ามันจะพลิกโฉมหน้าเศรษฐกิจไทยขนาดไหน และหากใครอยากเป็นกำลังใจให้พี่หลวง สามารถเข้าไปติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวของพี่เขาได้ทั้งในเพจ